protect copy

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Vampire and I บทที่ 5 Cold...Cold...Rain








ไซโตะตามหานานะไปทุกที่จนถึงรุ่งเช้า แล้วเขาก็เห็นเธอยืนอยู่ริมทางเดินของเมืองอีกฟากในแสงแดดเงียบเหงา

ในที่สุดเขาก็หานานะเจอแล้ว

“นานะ” ไซโตะตรงเข้าไปหาเธอ จับมือเธอแน่น “นึกว่าจะไม่ได้เจออีกแล้ว หายไปไหนมา”

“นานะ ?” แต่เสียงหวานที่ถามกลับมาทำให้เขาแปลกใจ “นายเป็นคนที่อยู่กับพี่นานะวันนั้น นายเป็นอะไรกับพี่สาวฉัน ?”

ไซโตะคลายมือเล็กที่จับเอาไว้ นี่ไม่ใช่นานะ เขามาเจอคนที่ไม่ควรเจอซะแล้ว

“พี่สาวฉันอยู่ไหน ทำไมพี่ไม่ยอมกลับบ้านเลย”

“ฉันไม่รู้จักนานะ” ไซโตะหันหลังและเดินจากมามิไป

“แต่ฉันเห็นนายอยู่กับพี่”

“เธอจำคนผิดแล้ว”

“หยุดนะไซโตะ พี่นานะอยู่ไหนกันแน่ !

เขาแปลกใจที่เธอจำชื่อเขาได้ทั้งที่นานะเรียกเขาให้เธอได้ยินแค่ครั้งเดียว แต่ไซโตะจากไปแล้ว และไวเกินกว่าก้าวเล็กๆ ของมามิจะตามทัน

“หยุดนะ !



ไซโตะไม่เข้าใจนานะเลย ในเวลาที่เธอดูเหมือนว้าเหว่และต้องการเขาเธอกลับจากไป รสเลือดของเขาเองที่เขาได้ลิ้มรสวันนั้นผ่านริมฝีปากของนานะเมื่อเธอจูบเขายังติดแน่นอยู่ ทว่าความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวนั้นหายไปแล้ว

นานะ เธออยู่ไหน ?

เขารู้สึกว่างเปล่าเมื่อเดินไร้จุดหมายไปตามถนนสายเดิม สายฝนเย็นเยียบกระหน่ำลงมา แล้วฝีเท้าของเขาก็หยุดกึก มือกำร่มค้างในมือ

ร่างสีขาวของนานะทรุดไร้สติอยู่ที่ริมกำแพงเทาทึม ดูราวกับครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน

“ทำไมเป็นแบบนี้ นานะ !?” เขาพยุงร่างนั้นขึ้น เธอดูราวกับตุ๊กตาสวยงามที่เพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก

“ฉันอยากกลับไปหานาย แต่คิดอีกทีก็ไม่อยาก”

“เธอเป็นอะไร ทำไมไม่บอกฉัน ให้ตายสิ”

“ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากดึงนายลงมาอยู่ในโลกมืดกับฉัน ไม่มีใครช่วยฉันได้” แล้วเธอก็คล้ายจะหมดสติไป “ไม่มีวัน”

ในที่สุดเขาก็ได้พานานะกลับมา เขาวางเธอลงที่โซฟา นานะมีสติเหลือแค่ครึ่งเดียว

“หิวจัง” เธอบอก “ขอโทษนะที่เพิ่งมาถึงก็พูดอะไรบ้าๆ”

“ไม่เลย”

“ฉันยังรู้สึกผิดอยู่นะ” นานะเคลื่อนปลายนิ้วไปที่ลำคอของไซโตะ รอยเขี้ยวที่เธอสร้างไว้บนนั้นเลือนหายไปแล้ว “ฉันทำกับนายวันนั้น ทำร้ายคนที่ดีกับฉัน ทั้งที่ฉันเป็นคนเดียวที่ควรจะได้รับความเจ็บปวดแบบนั้น และหยุดวังวนชั่วร้ายนั่นซะที”

แล้วนานะเบือนหน้าไปอีกทาง ทว่านั่นทำให้ไซโตะเห็นรอยเขี้ยวสีแดงบนต้นคอของเธอ “นานะ รอยนี่... ”

“อย่าแตะต้องตัวฉันนะ !” นานะร้อง ร่างสั่นเมื่อไซโตะกุมต้นแขนของเธอไว้ราวกับถูกดึงลงสู่ฝันร้าย และเมื่อเขามองเธอใกล้ๆ เขาก็เห็นว่ารอยเขี้ยวไม่ได้มีแค่จุดเดียว ไซโตะปลดเสื้อแจ็คเก็ตของร่างที่สั่นแผ่วๆ อยู่ในอ้อมแขนของเขา  มีรอยเขี้ยวต่ำลงไปจากไหล่ของเธอด้วย

“ใครทำกับเธอแบบนี้”

“ฉันมีเจ้าของแล้วไซโตะ ฉันไม่มีวันหลุดพ้นจากเขาได้” เธอบอก “ในโลกแวมไพร์มีเจ้านาย ฉันต้องมอบเลือดและชีวิตให้กับเจ้านายของฉัน เขาชื่อมิคามิ เจ้านายฝ่ายสูงในโลกแวมไพร์”

“นี่มันบ้าไปแล้ว” ไซโตะกัดฟัน

“ช่างมันเถอะ” นานะเบือนหน้า “บอกแล้วว่าไม่ต้องใส่ใจ แวมไพร์ก็เป็นปีศาจที่น่าสมเพชแบบนี้ล่ะ”

แต่ไซโตะกอดนานะไว้ แผ่นหลังสีขาวชื้นฝนในอุ้งมือของเขายังสั่นสะท้าน “เธอคงหิวมากแล้ว มาสิ”

ไซโตะอยู่ใกล้เกินไป ลำคอที่ลากต่อลงมาจากใบหน้างดงามมีเส้นเลือดเต้นอยู่ภายใน และเธอได้ยินมันอย่างชัดเจน

“นายน่ะบ้า นายจะตายเพราะฉัน” เธอพูดอย่างเจ็บปวด “ที่สำคัญมันจะเจ็บนะ”

“ไม่เป็นไร”

นานะนิ่งไป ปลายนิ้วเล็กเคลื่อนไปที่ปกเสื้อของไซโตะ ก่อนจะปลดกระดุมเม็ดแรก “งั้นหลับตาซะ”

แล้วโลกทั้งโลกก็มืดไปเพราะเขาหลับตา ไซโตะสัมผัสความเจ็บแปลบที่ลำคอ คมเขี้ยวของนานะแทรกเข้ามาและดื่มเลือดของเขา

กลิ่นเส้นผมแวมไพร์ที่เปียกฝนผสมกับกลิ่นเลือดทำให้เขางุนงง ไซโตะเปิดตา ใบหน้าที่สวยหวานเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นปีศาจร้ายยังคงดื่มเลือดจากเขา ทว่าแผลบนร่างสีขาวของเธอเมื่อเขาลดมือลงนั้นค่อยๆ จางลงแล้ว และสุดท้ายก็เลือนหายไป เลือดของเขาคงรักษาบาดแผลของเธอได้

“แบบนี้ดีแล้วล่ะ” เขาทรุดหลังลงกับพนักโซฟา มือไล้แผ่นหลังของนานะราวกับปลอบโยน ทว่าเขาสัมผัสว่าเธอสะอื้น แล้วนานะก็ถอนคมเขี้ยว

“เป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุดเลย ขอโทษนะ”

“อย่าขอโทษฉันอีก” ไซโตะสั่งเสียงนิ่ง เช็ดคราบเลือดจากริมฝีปากของนานะด้วยปลายนิ้ว “แล้วก็ห้ามร้องไห้อีกนะ”

เธอนิ่งไป หลังๆ มานี้เธอไม่กล้าสบตาไซโตะตรงๆ เลย เขาดูราวกับแสงจันทร์ที่งดงามเกินไปสำหรับแวมไพร์ในโลกมืดอย่างเธอ  “ทำไมล่ะ”

“เพราะเพื่อเธอ ฉันจะยอมเจ็บ” แล้วอีกมือไซโตะก็เคลื่อนมาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอ “และบางที ฉันอาจจะหลงรักความเจ็บปวดซะแล้ว”

“ไม่นะ”

“ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามา เธอก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ฉันเคยรู้จัก ไม่มีอะไรเหมือนเดิมสำหรับฉันอีกแล้ว นานะ”



นานะกลับมาหิวอีกเร็วมาก ทุกครั้งถ้าเป็นก่อนนี้เธอจะออกล่า แต่วันนี้ทันทีที่ไซโตะกลับมาจากวิทยาลัย เขาก็รู้ว่าเธอเชื่อฟังเขาและไม่ได้ออกไปล่าที่ไหน เพราะอย่างนั้นเธอถึงดูหิวจนทนไม่ไหวแล้ว

วันนี้เขาซื้อของใช้และชุดใหม่ๆ มาให้เธอ เขาเตรียมหนังสือเรียนมาอ่านกับเธอด้วย

“มาสิ” เขาเรียก “ป่านนี้แล้วยังลังเลที่จะดื่มเลือดฉันอีกเหรอ”

“ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ชอบดื่มเลือดคนที่ฉันรู้สึกดีด้วย”

“รู้สึกดี ? หมายความว่าไง ?” ไซโตะถอดเน็คไท “หมายถึงเธอชอบฉันเหรอ”

นานะแทบสะอึก “ก็เคยบอกแล้วว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

 “แล้วมันหมายความว่าไง”

“ไซโตะ ทำไมนายถามแบบนี้” นานะนิ่งไป “ฉันรักคนหลายคน ฉันรักมามิ รักนาย...เลิกพูดเรื่องนี้ซะ ถ้าไม่อยากให้ฉันหนีหายไปอีก”

“ได้ ฉันไม่ถามแล้ว” แล้วไซโตะก็รั้งมือเธอไว้เมื่อเธอเหมือนจะเดินตรงไปที่ประตู รั้งมือหนึ่ง แล้วก็มืออีกข้าง

แล้วริมฝีปากของนานะก็ฝังลงบนคอของไซโตะอีกครั้ง

กล้ามเนื้อแข็งของร่างที่สูงกว่ากระตุกเกร็ง นานะรู้ว่ามันเจ็บ เพราะเธอไม่ได้จงใจทำมันอย่างแผ่วเบา นั่นเลยทำให้เลือดสายเล็กๆ ไหลเลยจากริมฝีปากของเธอมาตามลำคอนั้น

ดีแล้วล่ะ บางทีเขาจะได้เกลียดคมเขี้ยวแวมไพร์ ความเจ็บปวดนี้เธอไม่มีวันยอมให้เขาเห็นมันเป็นสิ่งสวยงามไปได้

“ขอโทษนะ ไซโตะ”



แสงแดดจางสาดเข้ามาจากปลายผ้าม่าน เช้าแล้ว ไซโตะนั่งอยู่ข้างเตียงและนิ่งมองคนที่ยังหลับอยู่ในผ้าห่มของเขา แล้วเมื่อดวงตากลมโตนั้นเปิดขึ้น ไซโตะก็บอกกับเธอ

“วันนี้เป็นวันเกิดฉัน”

“จริงเหรอ ?”

“ฉันจะโกหกทำไม”

“มาบอกกันแบบนี้อยากให้ทำอะไรให้เป็นพิเศษรึไง”

“เปล่า ก็แค่บอกไว้” ไซโตะลุกขึ้นแล้ว นานะมองร่างสูงที่ผละไปที่กระจกของตู้เสื้อผ้าเพื่อจัดเน็คไทและสวมเสื้อนอก เขาดูน่ามองเหมือนเจ้าชายที่สง่างามเลย

“ไม่รู้จะไปบอกใครที่ไหนอีก ทุกทีก็อยู่คนเดียว ตอนแรกก็นึกว่าชอบแบบนี้ แต่พอเธอมาอยู่ด้วยฉันก็สงสัยว่าแต่ก่อนอยู่คนเดียวมานานแบบนั้นได้ยังไง”

แต่นานะตีหน้านิ่งและพูดเสียงเย็นชา “อย่าลืมนะ นายไม่ได้อยู่กับมนุษย์หรือกับเพื่อนที่ดี นายอยู่กับแวมไพร์”

“นั่นสินะ” ไซโตะมองตัวเองในกระจก และนานะก็เผลอมองเขานานเกินไป จนตอนนี้เธอก็ยังคิดว่าหน้าตาของเขาหล่อเหลาจนไม่น่ายกโทษให้ และมันไม่เข้ากับวิธีพูดที่เย็นชาไม่เป็นมิตรของเขาเลย นิสัยเก็บตัวและยิ้มยากแบบนี้ไม่เข้าใจเลยว่าเขามีแฟนคลับมากมายได้ยังไง

“แต่บางทีการถูกแวมไพร์กัดจนเลือดหมดตัวบ้างอาจจะดีกว่าที่ต้องอยู่คนเดียว” เขาบอก

นานะนิ่งไป

แล้วไซโตะสะพายกระเป๋า “ฉันต้องไปแล้ว”

“มาบอกฉันทำไม” เธอทำเสียงเย็นชาเป็นพิเศษ

“ก็แค่บอก ไม่ได้ขออนุญาตหรืออะไร”

แล้วประตูก็ปิดลง นานะยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง เธอถอนใจ การทำตัวเย็นชากับไซโตะที่อ่อนโยนกับเธอไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอต้องทำเพื่อป้องกันตัวเองและเขา ใครจะยอมดึงชายที่งดงามราวกับแสงสว่างลงมาในเงามืดกับปีศาจกันล่ะ

แต่แล้วประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้งตอนที่เธอลุกขึ้นพับผ้าห่ม

“ลืมของเหรอ ประธานรุ่นไม่น่าขี้ลืมนะ”

ทว่าไม่มีคำตอบ ร่างสูงก้าวมาหยุดยืนหน้านานะ และมือใหญ่รั้งเธอเข้ามา ร่างของนานะแนบชิดกับร่างของไซโตะ ใบหน้าก็เช่นกัน เขารั้งเธอเข้าไปใกล้จนเธอเห็นใบหน้าคมคายนั้นดูพร่า

มืออุ่นของไซโตะทาบอยู่ข้างแก้มของเธอ ริมฝีปากของเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา

“ไซโตะ ?”

ด้วยช่องว่างไม่กี่มิล แล้วริมฝีปากของทั้งสองก็จะสัมผัสกัน ลมหายใจอุ่นรินรดผิวของนานะ และเธอรู้สึกว่าผิวเธอบางเกินไปจนสะท้านแผ่วๆ

แต่แล้วใบหน้าของเขากลับเคลื่อนเลยไปก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะได้รับสัมผัสนั้น

เขาเพียงโอบกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน

แล้วไซโตะก็ผละไป

ประตูปิดลง

นานะยืนนิ่งกับความรู้สึกแปลกๆ อีกครั้ง เมื่อครู่หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะออกไป ไซโตะกำลังก้าวผ่านเส้นบางอย่างที่เธอขีดกั้นเขาไว้เข้ามา

แล้วตอนที่เธอคิดจะเริ่มจัดห้องให้เขานั่นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นแฟ้มงานที่เขาต้องใช้วันนี้

“ลืมของจนได้สินะ” นานะไม่รู้เลยว่าเขาลืมจริงหรือจงใจลืม เพราะคนอย่างไซโตะไม่ใช่คนที่ใครจะอ่านออกง่ายๆ

นานะมาถึงวิทยาลัยที่มีชื่ออยู่บนแฟ้ม มันเป็นวิทยาลัยอันดับหนึ่งของจังหวัดนี้ และเธอเองก็เคยฝันที่จะได้มาเรียนที่นี่ ช่างเหอะ เธอไม่ควรจะอาลัยอาวรณ์อดีตที่เรียกกลับมาไม่ได้ ยังไงซะเธอก็ไม่ไปเรียนทั้งที่เป็นแวมไพร์แน่

แดดสว่างที่ไม่เหมาะกับแวมไพร์ทำให้นานะหลบตัวอยู่ในเงา นั่นไง เธอเห็นเขาแล้ว ร่างสูงและท่าทางที่น่ามองทำให้ไซโตะโดดเด่นกว่านักศึกษาคนอื่นอย่างง่ายดาย

“พี่คะ” นานะเห็นนักศึกษาหญิงรุ่นน้องวิ่งตามไซโตะมา

“ช่วยรับของขวัญนี้ไว้ด้วยค่ะ” เธอบอก หน้าแดงเหมือนมะเขือเทศ “รุ่นพี่คบกับฉันได้มั้ยคะ แค่คบเฉยๆ พี่ไม่ต้องรักหรือดูแลอะไรฉันก็ได้ ขอแค่ฉันได้เจอพี่บ้างนานๆ ครั้งก็ยังดี”

นานะกลั้นหายใจ

“พี่รับของนี้ไว้ไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ”

คำตอบของไซโตะทำให้นานะผ่อนลมหายใจออกได้ บางทีเธอก็ชอบให้เขาพูดแบบเย็นชา

“ทำไมคะ พี่มีแฟนแล้วเหรอ”

ไซโตะไม่ตอบ

“หรือพี่มีคนที่ชอบแล้ว ?”

????



วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 8 Sweet Fangs








ฉันได้ยินเสียงคมเขี้ยวฝังลงบนคอของฉันอย่างแผ่วเบา ...ลำคอและร่างที่พราวไปด้วยหยดน้ำของฉัน
“อะ...” ฉันเกือบจะร้องออกมา แต่ก็กลั้นไว้ หวังว่าคงไม่มีใครอื่นอยู่แถวนี้ด้วยหรอกนะ
แล้วชินจิก็ดื่มเลือดจากฉัน มืองดงามประคองลำคอของฉันไว้อย่างอ่อนหวาน
และความเจ็บปวดนั้น...น่าแปลกเหลือเกินที่ฉันเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว...
ฉันเริ่มคุ้นเคยกับการฝังคมเขี้ยวของชินจิ ถึงเส้นขนทั่วร่างจะยังลุกเกรียว และทั้งร่างก็สะท้านและหวั่นไหวไม่ต่างจากครั้งแรก
แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งนั้นก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในหัวใจของฉัน ราวกับดอกไม้ที่แอบเบ่งบานในความเงียบใต้แสงเย็นเยียบของดวงจันทร์
มันคือความรู้สึกของฉัน
หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่น เพราะฉันรู้ว่าชินจิจะไม่ทำร้ายฉัน เขาจะไม่ฆ่าฉัน ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวของเขา และเขาเพียงแค่ต้องการเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของตัวเองเท่านั้น
และแม้แต่ดอกไม้ที่งดงามที่สุดก็ยังต้องทำให้คนอื่นเจ็บปวดไม่ใช่เหรอ ? ชีวิตอื่นต้องตาย เปื่อยเน่า และผุพังเพื่อที่จะเป็นอาหารให้กับดอกไม้ และนั่นก็คือวิธีเกิดใหม่ของชีวิตพวกนั้น
ชินจิ...ฉันแค่อยากจะช่วยนาย
ใครล่ะจะอยากให้นายตายหรือหิวจนทรมาน ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะฉันเป็นเพื่อนที่ดีของนายไงล่ะ
แล้วเขาก็ดื่มเลือดจากฉัน...อีกครั้ง ร่างของเราอยู่ชิดกัน ชิดจนฉันเชื่อว่าหูที่ไวกว่ามนุษย์ของแวมไพร์จะต้องได้ยินเสียงหัวใจของฉันแน่ๆ
 ทว่าฉันรู้สึกยังไงกันนะ ? ผู้หญิงทั้งโลกก็อยากให้แวมไพร์กัดกันทั้งนั้นจริงๆ เหรอ ? ทำไมล่ะ ?
“แบบนั่นล่ะ เด็กน้อย” ชินจิถอนคมเขี้ยวชั่วครู่เพื่อบอกกับฉัน ก่อนที่เขาจะฝังคมเขี้ยวลงไปในรอยเดิมและเสพย์เลือดของฉันอย่างหลงใหล ทำให้ฉันรู้สึกราวกับดอกไม้กลีบบางที่ถูกปลิดออกมา เพื่อที่จะถูกปล่อยให้ปลิวคว้างไปในสายลมของเวลากลางคืน
ว่าแต่เขาเรียกฉันว่า เด็กน้อยงั้นเหรอ ? ทั้งที่อายุเท่ากันแต่เขากลับเรียกฉันแบบนั้น ? แต่ก็ไม่ผิดเลย แวมไพร์อย่างเขาถึงจะดูอายุอ่อนเหมือนฉัน ทว่าเขาก็มีชีวิตอยู่มาเป็นร้อยปีแล้วนี่นะ แต่ถ้าจะให้เรียกเขาหรือว่าปู่หรือทวดเพื่อให้สมกับอายุของเขา มันก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ เพราะเขาดูอายุเท่าๆ ฉันจริงๆ และที่สำคัญยังหน้าตาหล่อเหลาแบบเกินธรรมดาอีกด้วย
ชีวิตยาวนานชั่วนิรันดร์ของแวมไพร์ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงดอกหญ้า ดอกหญ้าน่ะเบ่งบานอยู่ในทุ่งหญ้าเพียงแค่สองสามวัน แล้วเมื่อมันร่วงโรยไปสถานที่นั้นก็ไม่รู้จักมันอีก แม้แต่สายลมสายเดิมก็ยังจำดอกหญ้าดอกนั้นไม่ได้
ฉันเป็นแค่ดอกหญ้า เป็นแค่เวลาแสนสั้นเมื่อเทียบกับชีวิตแวมไพร์ที่ราวกับจะเป็นนิรันดร์
...ได้ยินเสียงกลืนเลือด...
...แวมไพร์กำลังดื่มเลือดของฉัน...
“ชิน...จิ...” ฉันเรียกเขาด้วยเสียงขาดห้วง วันนี้ฉันคงไม่ควรมาซ้อมว่ายน้ำจริงๆ เพราะแค่เขาดื่มเลือดฉันไปได้นิดเดียว ฉันก็มึนตื้อไปหมดแล้ว ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง จนในที่สุดแขนของชินจิก็ต้องเคลื่อนมารั้งร่างของฉันไว้จากใต้น้ำ
“ฉันชอบเลือดของเธอเหลือเกิน” เขากระซิบบอกฉัน “ชอบสี ชอบกลิ่น ชอบความอบอุ่นของมัน และทุกอย่าง”
ฉันหลับตาลงแล้ว ก่อนปิดเปลือกตาฉันเห็นแววตาอ่อนโยนของชินจิที่มองมาราวกับส่งฉันเข้านอน
“ ขอมอบเลือดของเธอให้กับฉันตลอดไปนะ”
...ส่งฉันให้หลับฝันถึงสิ่งที่สวยงาม
...ดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป...
 “ยูกะ”


ไกลออกไปในความมืด ฟูมิตกตะลึง แข็งไปทั้งร่างเมื่อมองไปเห็นชินจิและยูกะที่ขอบสระน้ำ
พวกเขากำลัง...?
ไหนยูกะบอกว่าไม่ได้ชอบเขาไง ? แล้วทำไมชินจิถึงกำลังกอดยูกะอยู่ล่ะ  ทั้งสองดูสนิทกันมากกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก
ยูกะเป็นเพื่อนสนิทของเธอไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมยูกะต้องหลอกเธอด้วย ??
  แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมยูกะถึงต้องเตือนเธอไม่ให้ยุ่งกับชินจิ เพราะยูกะต้องการจะเก็บชินจิไว้คนเดียวสินะ แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรเพื่อนอย่างเธอเลย
แบบนี้นี่เองเหรอเพื่อนสนิทของฉัน เห็นหน้าตาเธอใสซื่อ แต่ที่จริงเธอร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะ ยูกะ !


เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ ฉันก็เลยไม่ต้องไปโรงเรียน
ไม่ได้เจอชินจิสองวันเขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ? พอไม่เจอฉันก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน และในเมื่อเขาไม่เจอฉัน เขาจะหิวรึเปล่านะ ? แล้วเขาจะทำยังไง ?
จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาฉันรอดจากคมเขี้ยวของเขาในวันเสาร์อาทิตย์มาหลายครั้ง และวันจันทร์ฉันก็จะถูกดื่มเลือดมากกว่าปกติ แต่ความรู้สึกห่วงใยของฉันเพิ่มขึ้นในวันเสาร์นี้
ฉันเริ่มคิดถึงชินจิมากขึ้น และฉันกังวลว่าเขาจะเป็นยังไง
ฉันตื่นสายมาก อีกชั่วโมงเดียวก็จะเที่ยงวันแล้ว การได้นอนเต็มอิ่มคืนเดียวก็ทำให้ฉันกลับมารู้สึกสดชื่นเหมือนไม่เคยเสียเลือดให้แวมไพร์มาก่อนเลยล่ะ อาจจะเพราะฉันเป็นนักกีฬาและดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีก็ได้
ฉันกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ แล้วก็ดูแลตัวเองให้แน่ใจว่าได้รับโปรตีนในแต่ละวันอย่างเพียงพอ โดยโปรตีนส่วนใหญ่มาจากพืชมากกว่าเนื้อสัตว์เพราะฉันสงสารมัน และที่จริงการรักษาสุขภาพแบบนี้ก็ทำให้ปีหนึ่งฉันแทบไม่ป่วยเป็นอะไรเลยล่ะ แม้แต่นอนดึกฉันยังไม่ทำเลย ฉันมักจะนอนหัวค่ำเพื่อให้หน้าและผิวสดใสอยู่เสมอ
ฉันรีบเดินลงไปชั้นล่างของบ้านทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอน ฉันหิวมากเลย และนั่นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะเสียเลือดไปหลายครั้ง
แล้วฉันก็ต้องแปลกใจที่ฉันได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยออกมาจากในครัว ฉันไม่เคยได้กลิ่นอาหารแบบนี้ในบ้านของฉัน เพราะมันเป็นอาหารฝรั่ง ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นเหมือนที่ปกติบ้านเราปรุงกัน
แต่ร่างสูงที่ยืนอยู่นั่น !!!???
เป็นไปไม่ได้ !!??
 “ชินจิ !?” ฉันอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ทำอาหารอยู่ในครัวคือเขา เขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวของฉัน ในบ้านของฉัน ???
“อรุณสวัสดิ์ ยูกะ” เขาทักเมื่อหางตาของเขาลากมาเห็นฉันเข้า และเขานิ่งมองฉันที่อยู่ในชุดนอนชั่วครู่ ก็ทำให้ฉันหน้าแดง
 “น...นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง ?”
แต่แล้วเสียงคุณแม่ก็ทักฉันจากข้างหลัง “ยูกะตื่นแล้วเหรอจ๊ะ ตื่นสายจังเลยนะเด็กขี้เซา”
“คุณแม่ ?”
“ชินจิน่ะมาทำอาหารเตรียมไว้ให้หนูตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“เอ๋ ?”
ปะ...แปลกมาก !
“คุณแม่รู้จักกับชินจิได้ยังไงคะ !? แล้วชินจิรู้จักบ้านเราได้ยังไง  !!??” ฉันหันหน้าหันหลัง มองชินจิที มองคุณแม่ที
“แปลกใจอะไรเหรอจ๊ะ ?” คุณแม่อดหัวเราะไม่ได้ “งงว่าแม่รู้จักชินจิได้ยังนะเหรอ ก็เมื่อวันจันทร์ก่อนโน้นชินจิอุ้มหนูมาส่งที่บ้านไง เราก็เลยแนะนำตัวกัน
“อุ้มหนูมาส่งที่บ้าน ??” ฉันอ้าปากค้าง “ต...ตอนไหนคะ??”
“ก็วันที่หนูเป็นลมที่หลังโรงเรียนไง ชินจิบอกว่าหนูตกใจตัวบุ้งจนเป็นลมไปน่ะ”
หลังโรงเรียน ?
                นึกออกละ วันนั้นฉันหมดสติไม่ใช่เพราะตัวบุ้งแม้แต่นิดเดียว เพราะมันไม่มีบุ้งไงล่ะ มีแต่แวมไพร์ และวันนั้นก็เป็นวันแรกที่ฉันถูกชินจิกัดแล้วหมดสติไป แต่ฉันลืมนึกไปเลยว่าฉันกลับบ้านมาได้ยังไง
“แล้ววันนั้นนายพาฉันมาส่งถูกบ้านได้ยังไง ?”
“ก็ฉันถาม เธอก็บอกทั้งที่สะลึมสะลืออยู่แบบนั้นล่ะ” ชินจิยิ้ม
นี่ฉันบอกทางกลับบ้านตัวเองให้เขาถูกทั้งที่แทบไม่มีสติงั้นเหรอ ?  ฉันจำอะไรไม่ได้ซักอย่าง
“ละ...แล้ว...” ฉันชี้ไปที่กระทะหน้าเตา ชินจิกำลังทำสแครมเบิลเอ๊กหอมกรุ่น “วันนี้นายมาทำไมน่ะ ?”
“ชินจิอยากตอบแทนที่ลูกช่วยเหลือเขาในห้องเรียนไงล่ะ ก็เขาเพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่นไม่ใช่เหรอ ?”
“อ้อ”
“นี่แน่ะ ยูกะ” แล้วคุณแม่ก็ลากมือฉันให้เดินออกไปจากห้องครัวเร็วเหมือนลมพัด พอมาหยุดไกลจากห้องครัวคุณแม่ก็แอบถามฉันอย่างตื่นเต้น
“ยูกะรู้มั้ย แม่น่ะตื่นเต้นจนหัวใจจะวาย เพื่อนใหม่ลูกทำไมถึงได้หล่อแบบนี้ล่ะ ?”
คุณแม่พูดไปตื่นเต้นไป “แถมยังมาทำกับข้าวรอหนูตื่นถึงบ้านอีก เขาเป็นแฟนหนูแล้วเหรอ ? หรือเขากำลังจีบยูกะลูกแม่อยู่นะ ?”
“แม่คะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว”  ฉันพูดอย่างห่อเหี่ยว รู้สึกไม่อยากอธิบายให้แม่ฟังพอๆ กับฟูมินั่นล่ะ เพราะเรื่องประหลาดแบบนี้น่ะใครจะพูดได้ แวมไพร์ที่มาหาเหยื่อถึงบ้านและทำกับข้าวให้ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ !!
“แต่ชินจิน่ะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จังเลยนะ หนูนี่ไม่เบาเลย ขนาดทำให้คนหล่อน่ารักแบบนี้มาทำกับข้าวให้ถึงบ้านได้ แสดงว่าลูกแม่ก็มีเสน่ห์ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ โฮะๆๆ" คุณแม่ยืดอกหัวเราะ
“คุณแม่” ฉันปราม
“ทำไมตอนพ่อหนูจีบแม่ไม่เห็นทำแบบนี้ให้แม่มั่งเลยนะ น่าอิจฉาหนูจริงๆ ยูกะ”
“แม่ขา เขาไม่ใช่แฟนหนูนะคะ”
“โอ๊ย ใครจะไปเชื่อ ฮ่าๆๆ”
“เค้าแค่ติดหนี้หนูเท่านั้นแหละค่ะ” ฉันตอบแม่ด้วยมุขเดิม
“หา ? นี่หนูมีเงินเก็บขนาดเป็นเจ้าหนี้ใครได้ด้วยเหรอจ๊ะ เห็นมีเงินเท่าไหร่ก็ใช้หมดนี่ ถึงจะสอบได้ที่หนึ่ง แต่วิชาเก็บเงินได้ศูนย์คะแนน ฮะๆๆๆ”
“คุณแม่ขา - -
เฮ้อ...ไม่ว่าจะคุยกับคุณแม่หรือคุยกับฟูมิก็ไม่ต่างกันเลย เหนื่อยเป็นบ้า !
ชินจิจัดอาหารสไตล์ฝรั่งเศสประยุกต์เสร็จแล้ว เขาดูเป็นมืออาชีพที่พิถีพิถันมาก ไม่ใช่แค่กลิ่นที่ชวนน้ำลายไหลเท่านั้น แต่ยังวิธีการจัดโต๊ะที่หรูหราโรแมนติกราวกับบรันช์ที่แสนอลังการอีกด้วย
บนโต๊ะมีแม้กระทั่งแจกันดอกไม้ แถมส้อมกับมีดยังถูกห่อไว้ในผ้าราวกับในภัตตาคารหรูอีกด้วย
“อาหารฝรั่งเศส ?” ฉันพูดขึ้นแบบงงๆ ตอนที่ชินจิปูผ้ากันเปื้อนบนตักฉัน
“ทำสุดฝีมือเลยล่ะ”
“มันดูเว่อร์” ฉันบอก “เอ่อ ขอโทษ ฉันหมายถึงน่ากิน”
แล้วฉันก็กินอาหารฝรั่งเศสฝีมือของชินจิ และ โอ ไม่อยากจะเชื่อเลย มันอร่อยที่สุดในโลกจริงๆ

 ติดตาม Vampire and I รักนายแวมไพร์ของฉันฉบับเต็มได้ที่พ็อตเก็ตบุ๊คหรือ E-Book นะคะ 
ขอบคุณค่ะ ^^