ค่ำของวันต่อมาพวกเรามีเรื่องสนุกเป็นพิเศษที่จะทำร่วงกัน
นิกิต้าจะจัดปาร์ตี้ที่บ้าน ทว่าหากจะถามว่านิคจัดปาร์ตี้เนื่องในโอกาสอะไร
ฉันก็คงจะตอบได้ง่ายๆ ว่าไม่ได้มีโอกาสอะไรพิเศษเลย ชาวคาเนเดียนอย่างเราชอบปาร์ตี้ทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว
พวกเราปาร์ตี้โดยที่ไม่ต้องมีโอกาสพิเศษอะไร
เหมือนที่พระเจ้าบอกไว้ว่าให้เราหาความสุขและความสนุกสนาน
เพราะไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้วภายใต้ดวงอาทิตย์
บ้านของนิคอยู่เลยดาวน์ทาวน์ไปอีกไม่ไกล
ถ้าเดินเร็วๆ จากบ้านฉันไปก็ไม่ถึงสิบนาที
ถึงอย่างนั้นเพื่อนแสนดีอย่างเคนตันและแซคก็ยังอาสาจะมารับฉัน
ฉันก็เลยบอกปัดว่าไม่เป็นไร เอาไว้รบกวนพวกเขาเรื่องที่ยากกว่านี้ดีกว่า
ที่สำคัญเคนตันต้องพาหมาไซบีเรียนฮัสกี้ของเขาไปวิ่งเช้ารอบเย็นรอบ
ฉันก็เลยคิดว่าไม่สะดวกที่เขาต้องมารับฉัน
ส่วนแซคจะทำงานซ่อมสารพัดอย่างให้วิทยาลัยและเพื่อนบ้านทั้งที่เขารวยอยู่แล้ว
เขาบอกว่าการซ่อมทุกอย่างในโลกเป็นงานอดิเรกในฝันของเขา
ฉันก็เลยว่าจะลองขอเขามาซ่อมไฟในห้องน้ำที่บ้านให้อยู่เหมือนกัน
ฉันมาถึงบ้านของนิคเป็นคนแรกเมื่อตรงเวลานัดพอดี
ท้องฟ้ากว้างใหญ่เหนือขึ้นไปยังสว่างไปด้วยแสงแดดสดใส
นาฬิกาในมือถือของฉันบอกเวลาห้าโมงเย็น
บ้านของนิคมีประตูเหล็กดัดสูงใหญ่ราวกับพระราชวัง
ด้านข้างมีประตูเล็กที่ไม่ได้ลงกลอนไว้
เมื่อเย็นเขาบอกว่าให้ฉันเปิดประตูนี้เข้าไปได้เลยเมื่อมาถึง
ทันทีที่เดินพ้นประตูเข้ามาฉันก็เจอแนวต้นเมเปิลที่จัดวางสวยราวกับป่าโปร่ง
ใบของทุกต้นมีสีเขียวสดใส ขับให้ฤดูร้อนของเมืองอาร์เธอร์ดูสดชื่นและมีชีวิตชีวาไม่เสื่อมคลาย
ต้นเมเปิลถูกแบ่งเป็นสองฟากด้วยไดรฟ์เวย์ยาวเหยียดที่ทอดไปถึงโรงจอดรถขนาดใหญ่
ภายในโรงจอดมีรถหรูสองสามคันจอดไว้
ทุกคันดูแสนแพงและวาววับราวกับกำลังจอดอวดอยู่ในงานมอเตอร์โชว์
ฉันอดคิดไม่ได้ว่าพ่อแม่ของนิกิต้าอาจจะเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันในรัสเซียก็ได้
ประตูบ้านเปิดอยู่
“ไฮ”
ฉันร้องทักเข้าไปก่อน
“เข้ามาเลย
เดี๋ยวฉันออกไป” นิคตะโกนออกมาแต่เสียง
ฉันเดินตามคำเชิญเข้าไปในคฤหาสน์ที่เรียบ
มีสไตล์ และหรูหราอย่างไม่น่าเชื่อของนิกิต้า การตกแต่งภายในโปร่งโล่งในแบบลอฟท์ที่แสนสบายตา
และทั้งที่โดดเด่นด้วยกระจกและผนังปูนเปลือยดิบด้านทว่ากลับดูอ่อนหวานอย่างไม่น่าเชื่อด้วยแกรนด์เปียโนสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่
ประตูกระจกสูงตระหง่านซึ่งเป็นฉากหลังของเปียโนเผยให้เห็นวิวงดงามของสระว่ายน้ำขนาดกำลังดี
และสระน้ำนั้นล้อมด้วยต้นเมเปิลซึ่งบางกิ่งแขวนบ้านนกและขวดน้ำหวานสำหรับนกฮัมมิ่งเบิร์ดเอาไว้
“ตามสบายนะ”
เสียงนิคร้องออกมาอีกจากห้องหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
“อื้อ”
ติ๊งๆๆ
ได้ไล้นิ้วไปบนคีย์เปียโนแบบนี้ทำให้ฉันนึกถึงแกรนด์เปียโนที่บ้านในโตรอนโตของตัวเอง
กว่าฉันจะได้เจอพวกเขาและเปียโนหลังนั้นก็คงปิดเทอมหน้า
ตอนนั้นแหละที่พ่อแม่ของฉันจะกลับมาจากทริปยาวฉลองชีวิตหลังเกษียณที่เอเชีย
พวกท่านชอบไปเที่ยวกันสองต่อสองจนลืมทั้งลูกทั้งเวลา
อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลก และเป็นคู่รักี่น่าเอาเยี่ยงอย่าง
เริ่มเล่นเปียโนไปแล้วถึงค่อยร้องถาม
“ขอเล่นเปียโนหน่อยได้หรือเปล่า
“ได้สิ”
นิคร้องบอกจากไกลๆ
ฉันกดนิ้วลงบนคีย์เปียโนแล้วเล่นเพลงสุดท้ายที่ได้เรียนก่อนจะหนีครูเปียโนวัยเด็กไปเฉยๆ
การได้กลับมาปล่อยปลายนิ้วโลดแล่นบนคีย์สีขาวดำอีกครั้งทำให้ฉันนึกถึงการเรียนเปียโนอย่างจริงจังเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา
ถึงฉันจะไม่ค่อยมีพรสวรรค์แต่ก็ขยันเป็นบ้าเป็นหลังและไม่เคยโดดเรียนเลย
ฉันมักจะพยายามและทุ่มเทมากจนทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงหลายครั้ง เพราะบางทีเมื่อใกล้คอนเสิร์ตหรือสอบแข่งขันฉันจะซ้อมจนไม่ยอมนอน
ด้วยความทุ่มเททำให้ฉันเล่นเปียโนได้ดี
ฉันสอบผ่านเปียโนเกรด 7 แล้วด้วย ก่อนที่จะเลิกเล่นเปียโนไปเพราะว่า...
“อยากได้โน้ตรึเปล่า?
” เสียงนุ่มของนิคทักมาจากเหนือไหล่ของฉัน นั่นเป็นตอนที่ฉันหยุดเล่นเพราะลืมโน๊ตตัวต่อไป
ฉันไม่รู้เลยว่าเขามายืนอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
“น็อคเทิร์นในบันไดเสียงอีไมเนอร์ของโชแปง
ฉันมีโน๊ตนะ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม
นิกิต้าอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบลำลอง
ไม่ติดกระดุมสองเม็ดบน เผยให้เห็นแผงอกขาวจัดนิดๆ เขาดูเซ็กซี่ทีเดียว เส้นผมสีบลอนด์สว่างยังเปียกน้ำราวกับเพิ่งสระผมมา
จากเส้นผมสีซิลเวอร์บลอนด์จึงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น
ขับให้ดวงตาสีเทาอ่อนงดงมของเขาดูคมเด่นกว่าทุกครั้ง
ฉันเผลอมองนิกิต้าอย่างลืมตัวไปชั่วขณะ
คิดเอาเองว่าเขาน่าจะมีแฟนคลับบ้าง เพราะเขาทั้งหล่อและใจดีแบบนี้ หรือถ้ายังไม่มีใครตั้งแฟนคลับให้เขาฉันคนนี้อาจจะอาสาเองเสียเลย
จะได้เอาไว้หารายได้เล็กๆ น้อย ๆ
ให้เด็กยากจนในแอฟริกาที่พ่อแม่ฉันไปอาสาสมัครคลุกคลีช่วยเหลืออยู่บ่อยๆ
“นายเล่นเปียโนเหรอ? ”
“ใช่”
เขาทำท่าบอกให้ฉันลุกจากเก้าอี้เปียโน
ก่อนจะเปิดฝาเก้าอี้แล้วดึงโน้ตเพลงที่เพิ่งพูดถึงออกมากางให้ฉัน
“มาตรงเวลาจังนะวิค” หลังๆ
มานี้เพื่อนในแก๊งชอบเรียกชื่อเล่นของฉัน
“วันหลังจะมาสายๆ
ก็แล้วกัน”
“อย่าน่า
เธอไม่ต้องทำตัวเหลวไหลเหมือนพวกนั้นหรอก” เขาหัวเราะในลำคอ
น่าฟังเหมือนเสียงเปียโนที่ทุ้มนุ่มหู
ก่อนที่ร่างสูงจะนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวข้างๆ
ยกมือเท้าคางแล้วจ้องมองมา “เล่นสิ”
ฉันกดนิ้วลงบนคีย์เปียโนตามตัวโน๊ตอีกครั้ง
สีหน้าสบายๆ ของนิคที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ฉันอยากตั้งใจเล่นเปียโนให้เขาฟัง
พักใหญ่เขาก็ลุกไปที่ประตูเมื่อมีเสียงใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“แคมม์มาหรือยัง
นิกิต้า” เสียงหวานใสร้องถามจากประตู
ฉันเล่นเปียโนสะดุดไปชั่วครู่เพราะรู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงผู้หญิง
“แคเมรอนยังไม่มา” นิคตอบออกไป
“เหรอ”
แล้วฉันก็ได้ยินเจ้าของเสียงที่ถามถึงแคมม์ก้าวเข้ามาในบ้าน
ก่อนจะตรงมาหาฉันที่ยังเล่นเปียโนอยู่
“แล้วสาวสวยคนนี้ใครกันน่ะ?
” เธอถามถึงฉัน ฉันก็เลยหันไปยิ้มให้เธอ
แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้างอยางตกตะลึงที่ได้เห็นใบหน้าที่สวยราวกับนางแบบบนปกแมกกาซีน
จมูกโด่งเชิดรั้นนิดๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย
เข้ากันกับผมสีบรูเน็ตต์ที่หยักเป็นลอนยาวลงมาถึงกลางหลังราวกับตุ๊กตา
“ฉันชื่อคามิลล์” เจ้าของใบหน้าแสนสวยแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“วิคกี้จ้ะ”
ฉันบอกชื่อตัวเองบ้าง
“คามิลล์เป็นแฟนแคเมรอน”
นิคแนะนำ
ฉันสะดุ้งเฮือก
ทั้งตื่นเต้นทั้งทึ่งที่ได้เจอแฟนสาวแสนสวยของแคมม์
อยู่ๆ
คามิลก็โน้มร่างบางสวยราวกับซุปเปอร์โมเดลมาโอบเอวฉัน
ก่อนจะยื่นริมฝีปากสีพีชที่เปื้อนรอยยิ้มหวานเซ็กซี่มากระซิบที่ข้างหู
“อยู่กับนิคสองต่อสองนานๆ อย่าเผลอใจไปจูบเขาเข้าล่ะ”
“หะ...หา...!?
”
หลังจากพูดด้วยหน้าตาเซ็กซี่แต่ขี้เล่น
คามิลล์ก็ขยิบตาให้ฉันแล้วย้ายร่างบางเข้าไปหาน้ำดื่มในครัว
“ไฮ
เคนท์” นิคร้องทักเคนตันที่เพิ่งมาถึง
“ไฮ นิค ไฮ วิคกี้”
เสียงของเคนตันเรียกคามิลล์ออกมาจากครัวทันที
เธอเดินตรงมาหาเขาราวกับรออยู่นาน
“ไฮ
ไม่เจอกันนานนะ” คามิลล์เอื้อมแขนไปโอบไหล่เคนท์
ก่อนจะยื่นแก้มสีชมพูระเรื่อน่าหอมไปชนแก้มหล่อเหลาและใสปิ๊งของเขา
แต่เขาไม่ได้ก้มลงมาเธอก็เลยต้องเขย่งเท้า
“คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า?
” เธอถามแบบขี้เล่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูออดอ้อน ฉันแอบทำเป็นไม่เห็นและเล่นเปียโนต่อ
แต่หูกลับตั้งเหมือนลูกหมาที่กำลังตื่นเต้น
“สบายดีนะคามิลล์?
”
“นายนั่นแหละที่รู้ดีที่สุดน่ะ”
เคนตันนิ่งไป
เขาไม่ตอบเสียงของคามิลล์ที่แฝงไว้ด้วยการประชดประชันนิดๆ
พูดกันได้แค่นั้นแล้วเคนตันก็ผละจากคามิลล์ไปเพื่อทักทายแซคที่เพิ่งมาถึง
“ไงแซค
ไปซ่อมน้ำ ซ่อมรถ หรือซ่อมไฟบ้านไหน รวยขนาดนายไม่ต้องทำก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันอยากฝึกสมอง
ไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ตาย”
แล้วบทสนทนาก็หยุดลงเท่านั้นเมื่อเซธและแคเมรอนมาถึง
พวกเขามักจะมาพร้อมกันเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน
บ้านของเซธกับแคมม์อยู่นอกเมืองออกไปทางตะวันตกไม่ไกล เป็นบริเวณแสนสวยที่มีทั้งฟาร์ม
ร้านอาหารวิวดีที่เงียบสงบ และแกลลอรี่ที่น่าสนใจซ่อนอยู่
ไหนจะสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่างทะเลสาบและสายน้ำ
แต่ละที่ก็สวยอัศจรรย์สมกับที่ว่ากันว่าแคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่สวยและน่าอยู่ที่สุดในโลก
แคมม์เดินเข้าไปหาคามิลล์ทันทีเมื่อเห็นเธอ
แล้วร่างบางก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของแคมม์
“ฉันคิดถึงนายจังเลยแคมม์”
คามิลล์อ้อน
และหลับตาเมื่อแคมม์โน้มใบหน้าคมคายราวรูปสลักลงเพื่อฝังริมฝีปากลงบนเส้นผมนุ่มลื่นของเธอ
ฉันหน้าแดง
ไม่รู้จะเอามือตัวเองไปว่างไว้ที่ตรงไหน ฉันไม่เคยเขินขนาดนี้เลย นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามือของตัวเองเลิกเล่นเปียโนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วอยู่ๆ
ใครคนหนึ่งก็จี้เอวฉันจนสะดุ้งโหยง
“กรี๊ด”
แซคได้แต่ยืนหัวเราะที่แกล้งฉันได้
“โทษที ไม่รู้ว่าเธอบ้าจี้ จะดื่มอะไรไหม? ”
“ไม่!” ฉันสะบัดหน้า
“แล้วโกรธอะไรของเธอนั่นน่ะ”
แซคเอียงหัวงงๆ
ก่อนจะเคลื่อนหลังมือมาแตะหน้าผากของฉันราวกับจะดูว่าไข้ขึ้นไหม
แต่ฉันปัดมือเขาออก “ไม่สบายหรือเปล่า? ”
ฉันไม่ตอบเพราะฉันตอบไม่ได้
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคาดไว้
แคมม์กับคามิลล์นั่งอยู่ข้างๆ กันเหมือนทั้งโลกมีแค่เขากับเธอ ฉันเหม่อมองคู่รักของแก๊งเราอย่างชื่นชม
ไม่นานแคมม์กับคามิลล์ก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน
พวกเขาคงต้องการเวลาที่จะมีแต่เขาสองคนเท่านั้น
แต่ก่อนจะเลี้ยวหายขึ้นไปคามิลล์หันมามองเคนตันแวบหนึ่ง
สายตาราวกับจะฝากความแค้นและท้วงถามเอาไว้ทำให้ฉันประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรหรอก
คามิลล์เป็นแฟนเก่าเคนท์น่ะ” อยู่ๆ คำตอบก็ดังขึ้นข้างหลังจนทำให้ฉันสะดุ้ง
แซคทำให้ฉันตกใจอีกแล้ว!
“จริงเหรอ
โลกกลมจังนะ ใครเป็นคนบอกเลิกเหรอ” ฉันถามเรียบราวกับไม่ใส่ใจ
ตรงข้ามกับความอยากรู้อยากเห็นที่ซ่อนเอาไว้
“จะอยากรู้ไปทำไม”
แซคย้อนถามฉันกลับ ริมฝีปากผุดยิ้มร้าย
“ก็...เอ่อ...ก็...นายเริ่มเล่าก่อนทำไมล่ะ คนบ้า!” ฉันชักสีหน้า จิ๊ปากรำคาญหมอนี่ขึ้นมา
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาตอบคำถามในใจฉันได้ราวกับเริ่มระแคะระคายความคิดประเภทเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของฉัน
“ฮะๆๆ
อย่าดุสิวิค ฉันบอกให้ก็ได้ เคนตันเป็นคนทิ้งคามิลล์ก่อนเพราะเขาหันไปคบสาวสวยอีกคนชื่ออนาสตาเซีย”
“อ้าว
เคนท์มีแฟนเสียแล้ว...” ฉันลากเสียง “เคนตันก็มีแฟนแล้ว แคมม์ก็มีแฟนแล้ว
ไม่สงสารผู้หญิงในเมืองอาร์เธอบ้างหรือ อืม แต่ว่าที่จริงก็ไม่แปลก
พวกเขาหล่อขนาดนั้นจะรอดเงื้อมมือสาวๆ ไปได้นานแค่ไหน ถ้าพวกเขายังไม่แฟนสิถึงจะเรียกว่าแปลกจริง”
ไม่ทันไรฉันก็กลับไปนึกถึงคามิลล์แล้วถอนใจ
“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคามิลล์ถึงจ้องมองเคนตันเหมือนมีแผลในใจ
เขาบอกเลิกกับเธอนั่นเอง แต่ดูเหมือนเธอจะยังรักเขาและลืมเขาไม่ได้”
“ช่วยไม่ได้
เคนตันเลิกกับเธอไปคบผู้หญิงที่สวยน่ารักกว่าชื่ออนาสตาเซีย”
“อนาสตาเซียงั้นเหรอ”
ฉันทวนชื่อที่ราวกับเจ้าหญิงผู้งดงาม “ชื่อเพราะจัง
แฟนใหม่ของเคนตันเป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ สาวสวยระดับนางแบบอย่างคามิลล์เขาถึงทิ้งได้
ถึงอย่างนั้นก็เหอะ เคนตันก็ใจร้ายจัง
บอกเลิกคามิลล์ได้ลงคอทั้งที่เธอยังคิดถึงเขาแบบนั้น” ฉันขมวดคิ้ว
แค้นแทนคามิลล์ขึ้นมานิดๆ
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้หรอก” แซคบอกราวกับไม่ใส่ใจ
“แต่ไม่เป็นไรหรอก
แคมม์จะต้องรักษาแผลใจให้คามิลล์ได้แน่ และจะทะนุถนอมหัวใจของเธอ
แคมม์ทั้งอ่อนโยนและใจดี เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำร้ายผู้หญิงเลย” ฉันยิ้มอย่างมั่นใจ
แต่แซคหรี่ตามองฉันและยิ้มร้าย
“ดูเธอจะคลั่งไคล้แคมม์นะ”
เส้นสันหลังของฉันเย็นวาบ
นึกเกลียดเจ้าของยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นขึ้นอีกสิบเท่า!
“ไม่ใช่!” ฉันค้านเสียงแข็ง
“ฉันแค่เห็นเขาเป็นเพื่อนที่ดี!
“อ้อ
เหรอ”
“อีกอย่างฉันคิดว่าแคมม์กับคามิลล์ดูเป็นคู่รักที่ดูสมกันดีที่สุดในโลก
คามิลล์เป็นผู้หญิงที่โชคที่มากที่มีแคมม์เป็นแฟน
พวกเขาเหมือนถูกสร้างมาให้คู่กัน”
“เรื่องนั้น...ที่จริงก็ยังเป็นปริศนาสำหรับฉัน”
แซคไม่ซาบซึ้งไปกับฉันหากแต่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
ฉันแปลกใจ “พูดอะไรของนาย? ”
ทว่าแซคแค่ไหวไหล่แล้วเดินไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ
ต่อ ทิ้งให้ฉันยืนทื่ออยู่กับความสงสัยที่ตรงนั้นเอง
ปาร์ตี้ของนิคทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่กลางบาร์สุดหรูในกรุงมอสโก
แสงไฟสาดส่องวูบวาบและเพลงแนวเฮ้าส์ทำให้บรรยากาศของบ้านเปลี่ยนไปอย่างน่าทึ่ง ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะดีไปกว่าการแดนซ์และปล่อยอารมณ์ไปกับบีทของเพลง
เพื่อนๆ
ของฉันเต้นเก่งอย่างไม่น่าเชื่อเลย หนำซ้ำพวกเขาดูเท่ขึ้นอีกหลายเท่าในเวลาแบบนี้
และถ้าที่นี่เป็นผับหรือบาร์จริงๆ พวกผู้หญิงต้องกรีดร้องจนเสียสติแน่
“นี่เคนท์
แคมม์พาแฟนมาได้ แล้วทำไมนายไม่พามาบ้าง” ฉันถามเคนตันตอนที่พวกเราเต้นด้วยกัน
“แฟน?
”
“อนาสตาเซียน่ะ”
แซคที่เต้นอยู่ข้างๆ เสริมด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ดีมั้ง”
เคนท์บอกปัด
“ดีสิ
แก๊งเราจะได้มีผู้หญิงเพิ่ม เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มแบบนี้ฉันเหงานะ” ฉันออดอ้อน
“รายนั้นน่ะขอเหอะ
พามาก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย” เคนท์ทำเสียงเหนื่อยหน่ายแต่ก็ยิ้ม
และน้ำเสียงที่เขาพูดถึงแฟนฟังทั้งรักทั้งหวงก็ราวกับกำลังพูดถึงลูกสาว
“นายว่าลับหลังแฟนว่าเจ้าปัญหาเหรอ
ถ้าเจออนาสตาเซียฉันจะฟ้องเธอนะ!”
“อย่านะ”
“แล้วทำไมจะพามาไม่ได้ล่ะ
แฟนนายจะยุ่งได้ขนาดไหนเชียว”
“ก็ไม่ยุ่งเท่ากับที่น่ารักหรอก”
“น่านะ
แล้วฉันจะดูแลเธอให้ ฉันสัญญา” ฉันออดอ้อนจนแทบจะคุกเข่า “ฉันอยากเจอเธอมากจริงๆ
นายต้องพาเธอมานะ นะๆๆๆ”
“เฮ้อ
เอาอย่างนั้นก็ได้”
“จริงเหรอ!?
เยี่ยมไปเลย!”
“รับปากแล้วนะว่าจะช่วยดูแล
อย่าเปลี่ยนใจเสียล่ะ” เคนท์หยักยิ้ม และแซคก็เช่นกัน
ทว่ารอยยิ้มงดงามบนใบหน้าหล่อเหลาของทั้งสองดูไม่น่าไว้ใจ
“เดี๋ยว
ทำไมพวกนายทำหน้าแบบนั้น...” ฉันเริ่มระแคะระคาย “หรือฉันรับปากอะไรผิดไป
หรือว่าแฟนนายจะร้ายจนฉันเอาไม่อยู่ หรือว่าอะไร
นี่ฉันรับปากเร็วเกินไปใช่ไหม?”
ทว่าเคนตันแค่ยิ้มตอบพร้อมเสียงหัวเราะเย็นในลำคออย่างแฝงเลศนัย
ราวกับจะยิ่งตอกย้ำว่าที่ฉันขอร้องอยากจะเจอแฟนเขาอาจจะเป็นเรื่องผิดก็ได้
“เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง วิคกี้”
“ยุ่งละสิ”
เริ่มดึกแล้ว ดูเหมือนเพื่อนๆ
ของฉันจะสนุกกับงานปาร์ตี้ไปได้เรื่อยๆ
เวลาไม่ใช่สิ่งที่พวกเรากังวลเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ทำให้ไม่ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า
แคมม์ไม่ได้อยู่เต้นกับพวกเรา
ตั้งแต่เขาเดินขึ้นไปบนบ้านกับคามิลล์ก็ยังไม่ลงมาเลย
แต่ไม่ได้มีแค่แคมม์กับคามิลล์เท่านั้นที่ไม่อยู่
เพราะเมื่อฉันนึกดูอีกทีก็เห็นว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งหายไป ฉันไม่เห็นเขามาสักพักแล้ว
เซธหายไป