protect copy

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

บทที่ 1 Shocking First Day!



หลังจากมั่นใจว่าตัวเองถูกสะกดรายตามฉันมาฉันก็เตรียมวิ่งหนี
“เฮ้!” แต่เขาเรียกฉันจนสะดุ้งตัวลอย
 “ระ...เรียกฉันเหรอ” ฉันหันไปถามหวั่นๆ
“เธอนั่นล่ะ หรือตรงนี้มีคนอื่น” เขาพูดห้วน นัยน์ตาสีน้ำตาลแกมแดงเหมือนใบเมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วงมองฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง  “ฉันจะไปส่ง”
 “หะ...หา?! ฉันอ้าปากค้าง จากที่กลัวอยู่ฉันกลับหรี่ตาอย่างดูแคลน เขาไม่ได้มาลักพาตัวฉัน แต่แค่มาจีบผู้หญิงสวยอย่างฉัน แต่ด้วยวิธีการเข้าหาที่ไม่มีศิลปะเอาเสียเลยฉันก็สะบัดหน้า “ไม่ล่ะ ขอบใจ”
ฉันเดินตัวลอยออกไปและปล่อยให้เขามองตามมาข้างหลังอย่างนั้นเอง เพราะฉัน วิคกี้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมคบกับใครง่ายๆ
แต่พอฉันเดินออกประตูและเลี้ยวไปสุดโค้งตึกเท่านั้นฉันก็รู้ว่าทันทีว่าที่หมอนั่นอาสาจะไปส่งฉันไม่ใช่เพราะเขาประสงค์ร้าย และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะเดินตามเขาไปเหมือนลูกหมาเชื่องๆ แต่ถ้ามีใครสงสัยว่าเพราะอะไรก็เชิญดูข้างหน้าเอาเอง สิ่งที่เห็นไม่กี่เมตรข้างหน้าคือกลุ่มแก๊งอันธพาลสูบบุหรี่ควันขโมงอยู่กลุ่มใหญ่ และตอนนี้พวกมันก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว เห็นแล้วอยากร้องไห้!
 “เฮ้ คนสวย” พวกมันยิ้มร้าย
“นักศึกษาหญิงคนเดียวของวิทยาลัยเราเหรอ น่าสนใจนี่ มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
“มานี่สิที่รัก ทำตัวง่ายๆ กับพวกเราไว้เดี๋ยวก็ดีเอง”
พูดแล้วพวกมันก็เดินเข้ามาใกล้ แต่พอฉันจะถอยหลังก็ถูกพวกมันคนหนึ่งคว้าแขนไว้
ตุ้บ!! พล่อก!!
“โอ๊ย!!
ไม่ใช่พระเอกที่ไหน แต่เป็นฉันเองที่หวดเป้ใส่หน้าพวกมันด้วยโฟร์แฮนด์แล้วตีเข่าซ้ำ
“เฮ้ย ยัยหน้าสวยมันฟาดเราว่ะ”
สาบานเลยว่าฉันไม่ใช่พวกใจกล้า แค่ไม่รู้จะทำอะไรที่เรียกว่าฉลาดเท่านั้น
 “หนอย! ” พวกมันรุมเข้ามาใหญ่แล้ว!  
“อ๊าย...ย...!” ฉันปิดตา!
พลั่ก!
แล้วทุกอย่างข้างหน้าฉันก็เงียบไป ฉันลืมตาขึ้นแต่ก็ไม่เห็นนักเลงตรงหน้าสักคนเดียว “หายไปไหนแล้วล่ะ อ้าว !?
ปรากฏว่าพวกมันนอนแผ่ราบคาบกับพื้นกันหมดแล้ว
 “อะไรกันเนี่ย? อึ๋ย! ” ฉันต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเพิ่งจะเห็นว่าข้างๆ ฉันนายผมสีกาแฟดำและตาสีสนิมกำลังยืนกำหมัดอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นเขาที่เพิ่งสอยนักเลงพวกนั้นลงไปกองเหมือนใบไม้ร่วง
“อ้าว นั่นนายโรคจิตที่สะกดรอยตามฉันเมื่อกี้นี่!
แต่ฉันยังดีใจตอนนี้ไม่ได้ มันเร็วเกินไป เพราะข้างหน้านั่นนักเลงเถื่อนที่เหลืออยู่วิ่งชูกำปั้นเข้ามาเต็มอัตราแล้ว!
คนโรคจิตข้างๆ ยันตัวฉันออกห่างไปข้างหลังหลายก้าว ก่อนที่เขาจะปลดกระดุมเสื้อนอกสุดเท่ออกอย่างใจเย็นแล้วโยนมันขึ้นฟ้า เหลือไว้แต่เสื้อสีขาวสุดเนี้ยบตัวในที่ดูจะคล่องตัวกว่า
ฟิ้ว...ฟึ่บ เสื้อนอกที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงปลิวมาตกบนหัวของฉัน ทำให้ฉันเข้าใจว่าเขาฝากเสื้อฉันไว้เพราะกลัวเสื้อดีๆ จะเสียหาย ฉันก็เลยต้องยืนหอบเสื้อดูเขาสู้ 
ตุ้บ! ตั้บ!พลั่ก!! เขาอัดวายร้ายด้วยมาดสุดเท่
พลัวะ! โครม!!
ฉันไม่ทันจะหายใจหรือกรีดร้องแก๊งวายร้ายก็หมอบราบคาบ
คนชนะอันธพาลยกแก๊งเดินกลับมาคว้าเสื้อนอกของเขาไปจากมือฉันที่ยังอ้าปากค้าง ก่อนจะสวมมันทับลงไปบนเสื้อเชิ้ตที่ยับเยินพอประมาณ มันทำให้เขาดูร้อนแรงแบบดิบเถื่อน
 “นี่! ทำไมนายไม่บอกแต่แรกว่ามีแก๊งอันธพาลขวางอยู่นอกตึก ฉันจะได้...” ฉันพูดคับคอ
“ก็เธอเล่นเดินสะบัดออกมาแบบนั้น”
“กลายเป็นความผิดฉันไป นายนี่ไม่บอกแต่ด่าได้ มีปากไว้เพื่อ...?”
“พูดไม่ทัน ขี้เกียจพูด”
“ขี้เกียจพูดก็เอาประโยคที่ว่า มีอันธพาลนอกวิทยาลัยไว้หน้าประโยค จะไปส่งเซ่  ฉันจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่านาย...”
“คนหยิ่ง” คนหล่อมาดเข้มด่าอีก  “บ้าดีเดือด” เขาด่าต่อจริงอ่ะ?
นายด่าต่อจริงอ่ะ? นะ...นาย!
“ไม่บ้าไงกล้ามาเรียนวิทยาลัยชายล้วนแบบนี้”
“วิทยาลัยสหะย่ะ”
“แล้วไหนล่ะผู้หญิง? ”
“แง๊ อย่าพูดความจริงสิ!
 “ไม่รอดแน่” เขาส่ายหน้าหล่อเข้มด้วย ฉันฮึดฮัดและสั่นเทิ้มที่เถียงไม่ทัน นี่ขนาดเขาบอกว่าเถียงไม่ทันแต่ฉันยังแพ้ราบคาบ!
ขวับ! อยู่ๆ เขาก็หันหลังให้ฉันแล้วก็เดินออกไป
กึก แต่แล้วอยู่ๆ อีกวินาทีเขาก็หยุด เหลียวข้างและมองมองฉันด้วยหางตา
“ตามมา” เขาบอก แต่เหมือนสั่ง
“ไปไหน? ”
แต่เขาไม่ตอบเสียเฉยๆ นายแบบคนนี้พูดน้อยกว่าที่ฉันคาดไว้เสียอีก บางทีฉันอาจจะไม่มีวันคุยกับเขารู้เรื่องก็ได้
ถึงอย่างนั้นฉันก็เดินตามเขาไปเชื่องๆ เหมือนลูกหมาในฐานะที่เขาช่วยฉันไว้ เพราะที่จริงที่เขาพูดถูกหมด นักศึกษาใหม่อย่างฉันควรจะทำตัวว่าง่ายๆ
 “จะพาไปเจอเพื่อน” เขาบอกหลังจากเดินนำฉันไปพักใหญ่
“เพื่อนไหน? ”
“เป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวแบบนี้มาอยู่แก๊งฉันก็ได้ จะได้ปลอดภัย”
“หา?!  เดี๋ยวเซ่! ฉันไม่ใช่พวกอันธพาลนะ! ”
โวยวายคัดค้านได้ไม่เท่าไหร่อันธพาลหน้าตาระดับนายแบบอาร์มานี่ก็พาฉันมาถึงลานหญ้าโล่งสว่างหลังวิทยาลัยแล้ว ด้านข้างเป็นตัวตึกที่สง่างามตามแบบศิลปะโกธิค จะว่าไปที่นี่เหมือนเป็นสวรรค์ที่แอบซ่อนอยู่ ไกลออกไปมีนักศึกษาชายยืนอยู่สี่คน
“เฮ้ พวก” อันธพาลที่พาฉันมาร้องทักเพื่อนในแก๊ง “ดูสิ ฉันพาใครมาด้วย”
ผู้ชายสี่คนนั้นก็เลยหันมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้นฉันก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ราวกับโลกได้หยุดหมุนไปต่อหน้าต่อตาฉัน เพราะภาพที่เห็นข้างหน้าเป็นภาพที่ฉันไม่มีทางเชื่อว่าจะเป็นความจริงได้
นักศึกษาชายสี่คนยืนเรียงกันอยู่ในร่างหล่อสูงที่เท่ไร้ที่ติ และถึงเขาจะยืนเฉยๆ ก็ยังดูเหมือนกลุ่มนายแบบกำลังโพสต์ท่า แต่ละคนหล่อเต็มพิกัดแบบไม่ต้องคิด ด้วยความสูงเกิน 180 ซม. รูปร่างได้สัดส่วน และหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ พวกเขาน่าจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่เห็นเผลอมองค้างจนเดินชนต้นเมเปิ้ลที่ขึ้นอยู่เต็มแคนาดาได้ และพวกเธอต้องหัวโนด้วยแน่นอน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายทั้งสี่คนนี้คงดื่มนมวันละสองลิตรทุกวันมาตั้งแต่เกิด และดูแลร่างกายด้วยออกกำลังกับเทรนเนอร์ส่วนตัวทุกวัน มันทำให้พวกเขาดูเหมือนกำแพงนายแบบ โดยเฉพาะตอนที่นักศึกษาชายที่ช่วยฉันไว้เดินพาฉันเข้าไปใกล้ ส่วนตัวเขาเองก็เดินไปยืนข้างๆ พวกนั้นแล้วหันกลับมาทางฉัน กลายเป็นภาพซุปเปอร์โมเดลชายห้าคนที่สูง หล่อ หน้าใส และร้อนแรงกระแทกตาอย่างไม่น่าเป็นไปได้
แต่ที่น่าตกใจก็คือ หนึ่งในห้าคนนั้นก็คือชายผมสีบลอนด์เงางามที่น้องๆ มัธยม มาแอบถ่ายรูปจนตกต้นไม้ และเป็นคนเดียวกับที่ฉันเอาคราบลิปสติกไปประดับบนเสื้ออย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ความตกใจของฉันไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเมื่อฉันเห็นชายคนที่ยืนถัดมาก็ยิ่งทำให้ฉันเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาคือนักศึกษาชายผมสีดำตาสีฟ้าที่เดินสวนกับฉันเมื่อเช้านั่นเอง
ฉันเลิกนิ่งอึ้งเมื่อพวกเขาแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษจากซ้ายไปขวาอย่างเป็นทางการ
“สวัสดี ฉันชื่อแซค” ผู้ชายคนแรกทักฉันด้วยเสียงเพราะใสเหมือนกีต้าร์ เขาเป็นคนร่างสูงที่หน้าตาดีอย่างเหลือเชื่อ เส้นผมเซ็ตทรงอย่างดีสีคาราเมลสวยน่ามองอย่างประหลาด ดวงตาสดใสน่ารักสีเดียวกัน มีเขี้ยว มีลักยิ้ม ดูใจดีและขี้เล่นที่สุด และคำเดียวที่เหมาะกับเขาก็คือสมบูรณ์แบบ!
“สวัสดี ฉันชื่อเคนตัน” คนต่อมาแนะนำตัว เขาดูอ่อนโยนและอารมณ์ดี แต่ก็หล่อเหลาและคมเข้มไร้ที่ติ ยิ้มของเขาอบอุ่นและเป็นประกายด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อนๆ ที่เมื่อหรี่ลงแล้วสวยมากทีเดียว ดูราวกับดวงตาของหมาไซบีเรียนฮัสกี้หรือเสือขาวที่เด่นสว่าง ผมซอยทรงเท่ของเขาเป็นสีช็อคโกแล็ตเบลเยี่ยมที่สะดุดตา
“เอ๊ะ? ฉันว่าฉันเห็นนายวิ่งจูงหมาผ่านหน้าฉันไปเมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่ล่ะ”
เขายิ้มออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ฉันบอกสองคนแรกที่แนะนำตัวเสร็จ ไม่แน่ใจว่าควรจะเช็คแฮนด์เขาด้วยไหม ฉันได้แต่หวังว่าตัวเองไม่ได้กำลังอยู่ต่อหน้านายแบบหรือดารา  
ถัดมาก็เป็นเวลาของชายผมบลอนด์ที่ฉันหลงนึกว่าเป็นนกหายากจะต้องแนะนำตัว และเขาโชคร้ายจริงๆ ที่ต้องซักเสื้อตั้งแต่เช้าเพราะความซุ่มซ่ามของฉัน ร่างสูงของเขาดูเท่และเนี้ยบอย่างน่าแปลกใจ ผิวก็ขาวจัดราวกับหิมะ ดูเข้ากันกับเส้นผมสีซิลเวอร์บลอนด์ที่งดงามจับตา มันทำให้เขาดูราวกับเจ้าชายที่สง่างามของแก๊งเลยทีเดียว
“ฉันชื่อนิค” เขาแนะนำตัว
“นิค?” ฉันทวนชื่อที่สั้นและน่ารักของชายที่ถึงจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่หล่อเหลาแต่ก็ยังเด่นออกมา อาจจะเพราะเขาสูงกว่าเพื่อนคนอื่นเล็กน้อย  “มาจากชื่อเต็มว่านิโคลัสเหรอ”
“เปล่า” เขายิ้มบางที่ดูสง่างามราวกับเจ้าชาย “ย่อมาจากนิกิต้า”
“ชื่อแบบรัสเซียเหรอ? ”
เขายิ้มบางออกมาอีกครั้ง ฉันเผลอคิดไปว่าบางทีเขาอาจจะเป็นเป็นคุณชายลูกเศรษฐีเจ้าของบ่อน้ำมันก็ได้
 “ยินดีที่ได้รู้จัก” ฉันบอกไป
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
แล้วเวลาที่คนถัดไปจะแนะนำตัวก็มาถึง เขาคือชายผู้มีเส้นผมสีดำปรกเหนือดวงตาสีฟ้าที่เด่นสะดุดตา ชายที่เพียงแค่เดินสวนกันครั้งแรกก็ทำให้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเหลียวหลังกลับไป...อีกทั้งเป็นชายปริศนาที่ทำให้มวลอากาศรอบข้างเคลื่อนไหว... หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะอย่างที่ตัวเองไม่เข้าใจ
“ฉันชื่อแคมม์ จากชื่อเต็มว่าแคเมรอน
“แคเมรอน...”  ในที่สุดฉันก็รู้ชื่อของเขาจนได้ รู้สึกราวกับร่างของตัวเองปลิดปลิวและล่องลอยไป คงเป็นความรู้สึกที่คล้ายเวลาคนเราได้รู้จักนามอันลึกลับของทูตสวรรค์ หรือไม่ก็ได้ล่วงรู้ปริศนาที่งดงามบางอย่าง และเป็นอีกครั้งที่มวลอากาศวูบไหวรายรอบฉัน หรืออาจเป็นหัวใจของฉันที่เต้นรัวก็ได้
“ฉันชื่อวิคกี้” ฉันแนะนำตัวบ้าง
“ฉันรู้”
คำตอบของเขาทำให้ฉันแปลกใจ ไม่แค่รู้ชื่อของฉัน แต่เจ้าของร่างสูงนั้นยังยิ้มนิดๆ ออกมาด้วย เพียงเท่านั้นฉันก็รู้สึกถึงเม็ดเลือดนับล้านที่วิ่งขึ้นมาเต้นรัวอยู่ที่สองข้างแก้มและทำให้มันร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาดใจ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เพื่อนคนสุดท้ายจะต้องแนะนำตัวกับฉัน เขาก็คือนายจอมบู๊คนนั้นที่อัดอันธพาลจนเสื้อยับแต่ยังหล่อเนี้ยบได้ 
“แล้วนายล่ะ” ฉันถามเขาก่อน
“ชื่อเซธ” เขาตอบสั้นๆ ดวงตาสีทองแดงดิบแกร่งดูเข้ากันอย่างลงตัวกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มราวกับกาแฟดำไม่ใส่ครีม แถมยังเข้ากันอย่างน่าทึ่งกับชื่อที่ฟังดูแมนสุดขั้วของเขาด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” ฉันบอก ยังงุนงงเหมือนอยู่ผิดที่และไม่ใช่ความจริง  เพราะทุกคนดูดีและไร้ที่ติราวกับพร้อมจะถ่ายรูปขึ้นปกแมกกาซีนทุกเวลา ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาจะเป็นแค่นักศึกษา ที่จริงพวกเขาน่าจะเป็นบอยแบนด์หรือเป็นนายแบบมากกว่า หนำซ้ำท่ายืน ท่าขยับ หรือท่าไหนๆ ก็ดูจะเพอร์เฟคท์ไปทุกองศา ที่สำคัญพวกเขาไม่ใช่แก๊งเด็กเกเรเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้เลย
“ยินดีที่ได้รู้จักเธอเช่นกัน”
แล้วเซธก็หันไปคุยกับเพื่อนทั้งสี่ของเขาสั้นๆ เขาบอกว่าฉันจำเป็นที่จะต้องเข้ามาอยู่ในแก๊งของเขา ไม่อย่างนั้นนักศึกษาหญิงคนเดียวในวิทยาลัยอย่างฉันคงจะไม่รอดปลอดภัยไปได้ ไม่นานเพื่อนๆ ของเขาก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับเซธ แววตาที่มองฉันเต็มไปด้วยความสงสารราวกับเห็นลูกหมาถูกทอดทิ้ง
ฉันสะดุ้งเมื่อพวกเขาหันมาทางฉันแทบจะพร้อมกัน
 “งั้นตอนนี้เธออยู่แก๊งเราแล้วนะวิคกี้” พวกเขาพูดราวกับนัดกันไว้ แต่เดี๋ยวก่อน พวกเขาลืมถามว่าฉันอยากเข้าแก๊งของพวกเขาไหม เมื่อกี้พวกเขาเอาแต่พูดเองเออเอง 
แต่ดูเหมือนฉันจะแย้งไม่ทันเสียแล้ว อยู่ๆ ฉันก็กลายเป็นสมาชิกใหม่ในแก๊งห้าคน ของแซค เคนตัน นิค แคมม์ และเซธไปเสียแล้วทั้งที่ยังไม่อยากจะเชื่อ
นับแต่วินาทีนั้นพวกเราหกคนก็กลายเป็นเพื่อนกัน น่าแปลกที่พวกเขาเป็นกันเองกับนักศึกษาใหม่อย่างฉันได้แทบจะทันที ทำให้ฉันไม่รู้สึกแปลกแยกหรือหวาดกลัวเลยสักนิด และถึงพวกเขาจะหล่อจนแบบไม่ต้องสนใจใคร พวกเขากลับไม่ถือตัวและยิ้มง่าย แต่ยิ้มพวกนั้นควรจะซ่อนจากพวกนักศึกษาหญิงให้ดีทีเดียว  ไม่อย่างนั้นพวกเธออาจจะกรีดร้องจนเสียสติไปก็ได้ และอาจจะเป็นเพราะรำคาญผู้หญิงพวกเขาถึงพร้อมใจกันมาเรียนวิทยาลัยชาย แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนของฉันแล้วตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
“เหลือเชื่อ แต่ก็...ขอบคุณนะ”
ลมพัดใบเมเปิ้ลสีเขียวของฤดูร้อนโบกสะบัดราวเริงระบำ บ่งบอกถึงบทเริ่มต้นที่สวยงาม ...บทเริ่มต้นระหว่างฉันกับเพื่อนใหม่ทั้งห้า ฉันสัญญาว่าจะรักษามิตรภาพที่พวกเขาใจกว้างหยิบยื่นให้ฉันไว้อย่างดี
สุขสันต์วันเปิดเทอมนะวิคกี้
ฉันกับเพื่อนใหม่คุยกันอย่างสนุกสนานที่สนามหลังโรงเรียนจนเกือบค่ำ
“มืดแล้วล่ะ กลับกันเถอะ” นิคบอกและลุกจากสนามหญ้าเป็นคนแรก จากนั้นคนที่เหลือก็ทยอยลุกตามไป แคมม์เร่งดื่มกาแฟในแก้วพลาสติกให้เสร็จก่อนจะโยนทิ้งลงไปในถังขยะ ฉันมองตามแก้วกาแฟนั้นไป
ฉันยังยืนอยู่อย่างนั้นเมื่อเพื่อนคนอื่นลุกเดินออกจากสนามไปแล้ว
“ทำอะไรอยู่วิคกี้ ไปได้แล้ว” เซธเร่งฉัน
“เดี๋ยวตามไป”
และเมื่อพวกเขาทุกคนไปไกลพอแล้วฉันก็หันซ้ายหันขวา ก่อนจะตรงไปที่ถังขยะแล้วหยิบแก้วกาแฟใส่กระเป๋า
“มาเร็วสิ” เซธเร่งอีก
“รู้แล้วน่า” แล้วฉันก็วิ่งตามเพื่อนๆ ไป
หลังจากเซธกับแซคอาสามาส่งฉันที่บ้านและบอกลากันเรียบร้อย ฉันก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอน เปิดกระเป๋าและเอาแก้วกาแฟออกมา แก้วกาแฟทิ้งคราบน้ำเปียกแฉะไว้ในกระเป๋าด้วย ฝ่ามือของฉันสัมผัสถึงความเยือกเย็นของแก้วนั้น น้ำแข็งในแก้วละลายใกล้หมดแล้ว และที่เจืออยู่กับเม็ดไอน้ำแวววาวบนผิวแก้วก็ราวกับสัมผัสของแคเมรอน ...แก้วใบนี้ยังเหมือนมีไออุ่นจากมือของแคเมรอนอยู่เลย...
ฉันตั้งแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่าง จ้องมองมันอยู่เนิ่นนาน รู้สึกราวกับแก้วที่เปรอะหยาดน้ำนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง และมันเป็นเพื่อนของฉัน... เป็นตัวแทนของเจ้าของใบหน้าที่โดดเด่นน่ามองที่สุดนั่น
“แคเมรอน...” ฉันรู้สึกราวกับต้องมนตร์เมื่อเอ่ยชื่อที่ไพเราะนั้น ก่อนจะพูดกับแก้วกาแฟ “ฉันขอใช้นายเป็นแก้วใส่ดินสอในห้องของฉันนะ อยู่ที่นี่กับฉันล่ะ”
แล้วหัวใจของฉันก็อบอุ่นขึ้นมา นึกไปถึงดวงตาราวกับอัญมณีสีฟ้าที่งดงามน่าหลงใหล ล้อมกรอบไว้ด้วยเส้นผมสีดำ วินาทีนั้นฉันมองเขาจนเหลียวหลัง แล้วฉันก็คิดถึงทุกวินาทีที่ได้เห็นเขาคนนั้น
 ‘ฉันชื่อวิคกี้
ฉันรู้เขาพูดแบบนั้น แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูกที่เขารู้จักชื่อของฉัน แต่เดี๋ยวก่อน เขาพูดแบบนั้นก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ในเมื่อตอนปฐมนิเทศฉันแนะนำตัวกับเพื่อนทั้งชั้นไปแล้ว ทำเป็นลืมไปได้ เพราะฉะนั้นที่เขาพูดว่ารู้แล้วก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
แต่ถึงเราจะได้อยู่แก๊งเดียวกันแล้วเราก็ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย ท่ามกลางทุกคนเขาเขาดูเงียบ ช่างฝัน บางครั้งดวงตางดงามเหม่อมองออกไปไกลๆ ราวกับเขาอยู่คนเดียวเป็นบางครั้งท่ามกลางเพื่อนที่คุยสนุกสนานกันในแก๊ง แคเมรอนมีโลกส่วนตัวสูง และในบรรดาเพื่อนห้าคนเซธดูจะสนิทกับเขามากกว่าใคร เขาคุยกับเซธมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่คุยกับคนอื่น มีบางสิ่งที่ดูราวกับภาพวาดที่อยู่ห่างไกลและจับต้องไม่ได้ในความเป็นแคเมรอน...ไม่ว่าจะแววตาหรือรอยยิ้ม ฉันอยากจะเข้าใจเขา อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ 
ฉันชื่อของเขาลงไปในสมุดบันทึก ฉันวาดการ์ตูนเป็นรูปของเขา ฉันคิดถึงเขาจนน่าประหลาดใจ และฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
“วิคกี้ เธอเป็นอะไรไป?? ”