หลังจากมั่นใจว่าตัวเองถูกสะกดรายตามฉันมาฉันก็เตรียมวิ่งหนี
“เฮ้!” แต่เขาเรียกฉันจนสะดุ้งตัวลอย
“ระ...เรียกฉันเหรอ” ฉันหันไปถามหวั่นๆ
“เธอนั่นล่ะ
หรือตรงนี้มีคนอื่น” เขาพูดห้วน นัยน์ตาสีน้ำตาลแกมแดงเหมือนใบเมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วงมองฉันด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ฉันจะไปส่ง”
“หะ...หา?! ” ฉันอ้าปากค้าง
จากที่กลัวอยู่ฉันกลับหรี่ตาอย่างดูแคลน เขาไม่ได้มาลักพาตัวฉัน
แต่แค่มาจีบผู้หญิงสวยอย่างฉัน แต่ด้วยวิธีการเข้าหาที่ไม่มีศิลปะเอาเสียเลยฉันก็สะบัดหน้า
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
ฉันเดินตัวลอยออกไปและปล่อยให้เขามองตามมาข้างหลังอย่างนั้นเอง
เพราะฉัน วิคกี้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมคบกับใครง่ายๆ!
แต่พอฉันเดินออกประตูและเลี้ยวไปสุดโค้งตึกเท่านั้นฉันก็รู้ว่าทันทีว่าที่หมอนั่นอาสาจะไปส่งฉันไม่ใช่เพราะเขาประสงค์ร้าย
และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะเดินตามเขาไปเหมือนลูกหมาเชื่องๆ
แต่ถ้ามีใครสงสัยว่าเพราะอะไรก็เชิญดูข้างหน้าเอาเอง สิ่งที่เห็นไม่กี่เมตรข้างหน้าคือกลุ่มแก๊งอันธพาลสูบบุหรี่ควันขโมงอยู่กลุ่มใหญ่
และตอนนี้พวกมันก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว เห็นแล้วอยากร้องไห้!
“เฮ้ คนสวย” พวกมันยิ้มร้าย
“นักศึกษาหญิงคนเดียวของวิทยาลัยเราเหรอ
น่าสนใจนี่ มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
“มานี่สิที่รัก
ทำตัวง่ายๆ กับพวกเราไว้เดี๋ยวก็ดีเอง”
พูดแล้วพวกมันก็เดินเข้ามาใกล้
แต่พอฉันจะถอยหลังก็ถูกพวกมันคนหนึ่งคว้าแขนไว้
ตุ้บ!!
พล่อก!!
“โอ๊ย!! ”
ไม่ใช่พระเอกที่ไหน
แต่เป็นฉันเองที่หวดเป้ใส่หน้าพวกมันด้วยโฟร์แฮนด์แล้วตีเข่าซ้ำ
“เฮ้ย
ยัยหน้าสวยมันฟาดเราว่ะ”
สาบานเลยว่าฉันไม่ใช่พวกใจกล้า
แค่ไม่รู้จะทำอะไรที่เรียกว่าฉลาดเท่านั้น
“หนอย! ” พวกมันรุมเข้ามาใหญ่แล้ว!
“อ๊าย...ย...!” ฉันปิดตา!
พลั่ก!
แล้วทุกอย่างข้างหน้าฉันก็เงียบไป
ฉันลืมตาขึ้นแต่ก็ไม่เห็นนักเลงตรงหน้าสักคนเดียว “หายไปไหนแล้วล่ะ อ้าว !?”
ปรากฏว่าพวกมันนอนแผ่ราบคาบกับพื้นกันหมดแล้ว
“อะไรกันเนี่ย? อึ๋ย! ” ฉันต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเพิ่งจะเห็นว่าข้างๆ
ฉันนายผมสีกาแฟดำและตาสีสนิมกำลังยืนกำหมัดอยู่
ดูก็รู้ว่าเป็นเขาที่เพิ่งสอยนักเลงพวกนั้นลงไปกองเหมือนใบไม้ร่วง
“อ้าว
นั่นนายโรคจิตที่สะกดรอยตามฉันเมื่อกี้นี่! ”
แต่ฉันยังดีใจตอนนี้ไม่ได้
มันเร็วเกินไป
เพราะข้างหน้านั่นนักเลงเถื่อนที่เหลืออยู่วิ่งชูกำปั้นเข้ามาเต็มอัตราแล้ว!
คนโรคจิตข้างๆ
ยันตัวฉันออกห่างไปข้างหลังหลายก้าว
ก่อนที่เขาจะปลดกระดุมเสื้อนอกสุดเท่ออกอย่างใจเย็นแล้วโยนมันขึ้นฟ้า
เหลือไว้แต่เสื้อสีขาวสุดเนี้ยบตัวในที่ดูจะคล่องตัวกว่า
ฟิ้ว...ฟึ่บ
เสื้อนอกที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงปลิวมาตกบนหัวของฉัน
ทำให้ฉันเข้าใจว่าเขาฝากเสื้อฉันไว้เพราะกลัวเสื้อดีๆ จะเสียหาย
ฉันก็เลยต้องยืนหอบเสื้อดูเขาสู้
ตุ้บ! ตั้บ!พลั่ก!! เขาอัดวายร้ายด้วยมาดสุดเท่
พลัวะ! โครม!!
ฉันไม่ทันจะหายใจหรือกรีดร้องแก๊งวายร้ายก็หมอบราบคาบ
คนชนะอันธพาลยกแก๊งเดินกลับมาคว้าเสื้อนอกของเขาไปจากมือฉันที่ยังอ้าปากค้าง
ก่อนจะสวมมันทับลงไปบนเสื้อเชิ้ตที่ยับเยินพอประมาณ มันทำให้เขาดูร้อนแรงแบบดิบเถื่อน
“นี่!
ทำไมนายไม่บอกแต่แรกว่ามีแก๊งอันธพาลขวางอยู่นอกตึก ฉันจะได้...” ฉันพูดคับคอ
“ก็เธอเล่นเดินสะบัดออกมาแบบนั้น”
“กลายเป็นความผิดฉันไป
นายนี่ไม่บอกแต่ด่าได้ มีปากไว้เพื่อ...?”
“พูดไม่ทัน
ขี้เกียจพูด”
“ขี้เกียจพูดก็เอาประโยคที่ว่า
‘มีอันธพาลนอกวิทยาลัย’
ไว้หน้าประโยค
‘จะไปส่ง’
เซ่ ฉันจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่านาย...”
“คนหยิ่ง”
คนหล่อมาดเข้มด่าอีก “บ้าดีเดือด”
เขาด่าต่อจริงอ่ะ?
“นายด่าต่อจริงอ่ะ?
นะ...นาย! ”
“ไม่บ้าไงกล้ามาเรียนวิทยาลัยชายล้วนแบบนี้”
“วิทยาลัยสหะย่ะ”
“แล้วไหนล่ะผู้หญิง?
”
“แง๊
อย่าพูดความจริงสิ! ”
“ไม่รอดแน่” เขาส่ายหน้าหล่อเข้มด้วย
ฉันฮึดฮัดและสั่นเทิ้มที่เถียงไม่ทัน
นี่ขนาดเขาบอกว่าเถียงไม่ทันแต่ฉันยังแพ้ราบคาบ!
ขวับ! อยู่ๆ เขาก็หันหลังให้ฉันแล้วก็เดินออกไป
กึก แต่แล้วอยู่ๆ
อีกวินาทีเขาก็หยุด เหลียวข้างและมองมองฉันด้วยหางตา
“ตามมา” เขาบอก
แต่เหมือนสั่ง
“ไปไหน?
”
แต่เขาไม่ตอบเสียเฉยๆ
นายแบบคนนี้พูดน้อยกว่าที่ฉันคาดไว้เสียอีก
บางทีฉันอาจจะไม่มีวันคุยกับเขารู้เรื่องก็ได้
ถึงอย่างนั้นฉันก็เดินตามเขาไปเชื่องๆ
เหมือนลูกหมาในฐานะที่เขาช่วยฉันไว้ เพราะที่จริงที่เขาพูดถูกหมด
นักศึกษาใหม่อย่างฉันควรจะทำตัวว่าง่ายๆ
“จะพาไปเจอเพื่อน” เขาบอกหลังจากเดินนำฉันไปพักใหญ่
“เพื่อนไหน?
”
“เป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวแบบนี้มาอยู่แก๊งฉันก็ได้
จะได้ปลอดภัย”
“หา?!
เดี๋ยวเซ่! ฉันไม่ใช่พวกอันธพาลนะ! ”
โวยวายคัดค้านได้ไม่เท่าไหร่อันธพาลหน้าตาระดับนายแบบอาร์มานี่ก็พาฉันมาถึงลานหญ้าโล่งสว่างหลังวิทยาลัยแล้ว
ด้านข้างเป็นตัวตึกที่สง่างามตามแบบศิลปะโกธิค
จะว่าไปที่นี่เหมือนเป็นสวรรค์ที่แอบซ่อนอยู่ ไกลออกไปมีนักศึกษาชายยืนอยู่สี่คน
“เฮ้
พวก” อันธพาลที่พาฉันมาร้องทักเพื่อนในแก๊ง “ดูสิ ฉันพาใครมาด้วย”
ผู้ชายสี่คนนั้นก็เลยหันมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้นฉันก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ราวกับโลกได้หยุดหมุนไปต่อหน้าต่อตาฉัน
เพราะภาพที่เห็นข้างหน้าเป็นภาพที่ฉันไม่มีทางเชื่อว่าจะเป็นความจริงได้
นักศึกษาชายสี่คนยืนเรียงกันอยู่ในร่างหล่อสูงที่เท่ไร้ที่ติ
และถึงเขาจะยืนเฉยๆ ก็ยังดูเหมือนกลุ่มนายแบบกำลังโพสต์ท่า
แต่ละคนหล่อเต็มพิกัดแบบไม่ต้องคิด ด้วยความสูงเกิน 180 ซม. รูปร่างได้สัดส่วน
และหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ
พวกเขาน่าจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่เห็นเผลอมองค้างจนเดินชนต้นเมเปิ้ลที่ขึ้นอยู่เต็มแคนาดาได้
และพวกเธอต้องหัวโนด้วยแน่นอน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายทั้งสี่คนนี้คงดื่มนมวันละสองลิตรทุกวันมาตั้งแต่เกิด
และดูแลร่างกายด้วยออกกำลังกับเทรนเนอร์ส่วนตัวทุกวัน มันทำให้พวกเขาดูเหมือนกำแพงนายแบบ
โดยเฉพาะตอนที่นักศึกษาชายที่ช่วยฉันไว้เดินพาฉันเข้าไปใกล้
ส่วนตัวเขาเองก็เดินไปยืนข้างๆ พวกนั้นแล้วหันกลับมาทางฉัน
กลายเป็นภาพซุปเปอร์โมเดลชายห้าคนที่สูง หล่อ หน้าใส
และร้อนแรงกระแทกตาอย่างไม่น่าเป็นไปได้
แต่ที่น่าตกใจก็คือ
หนึ่งในห้าคนนั้นก็คือชายผมสีบลอนด์เงางามที่น้องๆ มัธยม มาแอบถ่ายรูปจนตกต้นไม้
และเป็นคนเดียวกับที่ฉันเอาคราบลิปสติกไปประดับบนเสื้ออย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่ความตกใจของฉันไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เพราะเมื่อฉันเห็นชายคนที่ยืนถัดมาก็ยิ่งทำให้ฉันเชื่อว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เขาคือนักศึกษาชายผมสีดำตาสีฟ้าที่เดินสวนกับฉันเมื่อเช้านั่นเอง
ฉันเลิกนิ่งอึ้งเมื่อพวกเขาแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษจากซ้ายไปขวาอย่างเป็นทางการ
“สวัสดี
ฉันชื่อแซค” ผู้ชายคนแรกทักฉันด้วยเสียงเพราะใสเหมือนกีต้าร์
เขาเป็นคนร่างสูงที่หน้าตาดีอย่างเหลือเชื่อ
เส้นผมเซ็ตทรงอย่างดีสีคาราเมลสวยน่ามองอย่างประหลาด ดวงตาสดใสน่ารักสีเดียวกัน
มีเขี้ยว มีลักยิ้ม ดูใจดีและขี้เล่นที่สุด
และคำเดียวที่เหมาะกับเขาก็คือสมบูรณ์แบบ!
“สวัสดี
ฉันชื่อเคนตัน” คนต่อมาแนะนำตัว เขาดูอ่อนโยนและอารมณ์ดี แต่ก็หล่อเหลาและคมเข้มไร้ที่ติ
ยิ้มของเขาอบอุ่นและเป็นประกายด้วยดวงตาสีฟ้าอ่อนๆ
ที่เมื่อหรี่ลงแล้วสวยมากทีเดียว
ดูราวกับดวงตาของหมาไซบีเรียนฮัสกี้หรือเสือขาวที่เด่นสว่าง
ผมซอยทรงเท่ของเขาเป็นสีช็อคโกแล็ตเบลเยี่ยมที่สะดุดตา
“เอ๊ะ?
ฉันว่าฉันเห็นนายวิ่งจูงหมาผ่านหน้าฉันไปเมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่ล่ะ”
เขายิ้มออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
ฉันบอกสองคนแรกที่แนะนำตัวเสร็จ ไม่แน่ใจว่าควรจะเช็คแฮนด์เขาด้วยไหม
ฉันได้แต่หวังว่าตัวเองไม่ได้กำลังอยู่ต่อหน้านายแบบหรือดารา
ถัดมาก็เป็นเวลาของชายผมบลอนด์ที่ฉันหลงนึกว่าเป็นนกหายากจะต้องแนะนำตัว
และเขาโชคร้ายจริงๆ ที่ต้องซักเสื้อตั้งแต่เช้าเพราะความซุ่มซ่ามของฉัน
ร่างสูงของเขาดูเท่และเนี้ยบอย่างน่าแปลกใจ ผิวก็ขาวจัดราวกับหิมะ
ดูเข้ากันกับเส้นผมสีซิลเวอร์บลอนด์ที่งดงามจับตา
มันทำให้เขาดูราวกับเจ้าชายที่สง่างามของแก๊งเลยทีเดียว
“ฉันชื่อนิค”
เขาแนะนำตัว
“นิค?”
ฉันทวนชื่อที่สั้นและน่ารักของชายที่ถึงจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่หล่อเหลาแต่ก็ยังเด่นออกมา
อาจจะเพราะเขาสูงกว่าเพื่อนคนอื่นเล็กน้อย
“มาจากชื่อเต็มว่านิโคลัสเหรอ”
“เปล่า”
เขายิ้มบางที่ดูสง่างามราวกับเจ้าชาย “ย่อมาจากนิกิต้า”
“ชื่อแบบรัสเซียเหรอ?
”
เขายิ้มบางออกมาอีกครั้ง
ฉันเผลอคิดไปว่าบางทีเขาอาจจะเป็นเป็นคุณชายลูกเศรษฐีเจ้าของบ่อน้ำมันก็ได้
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ฉันบอกไป
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
แล้วเวลาที่คนถัดไปจะแนะนำตัวก็มาถึง
เขาคือชายผู้มีเส้นผมสีดำปรกเหนือดวงตาสีฟ้าที่เด่นสะดุดตา
ชายที่เพียงแค่เดินสวนกันครั้งแรกก็ทำให้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเหลียวหลังกลับไป...อีกทั้งเป็นชายปริศนาที่ทำให้มวลอากาศรอบข้างเคลื่อนไหว...
หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะอย่างที่ตัวเองไม่เข้าใจ
“ฉันชื่อแคมม์
จากชื่อเต็มว่าแคเมรอน”
“แคเมรอน...”
ในที่สุดฉันก็รู้ชื่อของเขาจนได้
รู้สึกราวกับร่างของตัวเองปลิดปลิวและล่องลอยไป
คงเป็นความรู้สึกที่คล้ายเวลาคนเราได้รู้จักนามอันลึกลับของทูตสวรรค์ หรือไม่ก็ได้ล่วงรู้ปริศนาที่งดงามบางอย่าง
และเป็นอีกครั้งที่มวลอากาศวูบไหวรายรอบฉัน หรืออาจเป็นหัวใจของฉันที่เต้นรัวก็ได้
“ฉันชื่อวิคกี้”
ฉันแนะนำตัวบ้าง
“ฉันรู้”
คำตอบของเขาทำให้ฉันแปลกใจ
ไม่แค่รู้ชื่อของฉัน แต่เจ้าของร่างสูงนั้นยังยิ้มนิดๆ ออกมาด้วย เพียงเท่านั้นฉันก็รู้สึกถึงเม็ดเลือดนับล้านที่วิ่งขึ้นมาเต้นรัวอยู่ที่สองข้างแก้มและทำให้มันร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาดใจ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เพื่อนคนสุดท้ายจะต้องแนะนำตัวกับฉัน
เขาก็คือนายจอมบู๊คนนั้นที่อัดอันธพาลจนเสื้อยับแต่ยังหล่อเนี้ยบได้
“แล้วนายล่ะ”
ฉันถามเขาก่อน
“ชื่อเซธ”
เขาตอบสั้นๆ
ดวงตาสีทองแดงดิบแกร่งดูเข้ากันอย่างลงตัวกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มราวกับกาแฟดำไม่ใส่ครีม
แถมยังเข้ากันอย่างน่าทึ่งกับชื่อที่ฟังดูแมนสุดขั้วของเขาด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” ฉันบอก
ยังงุนงงเหมือนอยู่ผิดที่และไม่ใช่ความจริง เพราะทุกคนดูดีและไร้ที่ติราวกับพร้อมจะถ่ายรูปขึ้นปกแมกกาซีนทุกเวลา
ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาจะเป็นแค่นักศึกษา
ที่จริงพวกเขาน่าจะเป็นบอยแบนด์หรือเป็นนายแบบมากกว่า หนำซ้ำท่ายืน ท่าขยับ
หรือท่าไหนๆ ก็ดูจะเพอร์เฟคท์ไปทุกองศา ที่สำคัญพวกเขาไม่ใช่แก๊งเด็กเกเรเหมือนที่ฉันคิดเอาไว้เลย
“ยินดีที่ได้รู้จักเธอเช่นกัน”
แล้วเซธก็หันไปคุยกับเพื่อนทั้งสี่ของเขาสั้นๆ
เขาบอกว่าฉันจำเป็นที่จะต้องเข้ามาอยู่ในแก๊งของเขา
ไม่อย่างนั้นนักศึกษาหญิงคนเดียวในวิทยาลัยอย่างฉันคงจะไม่รอดปลอดภัยไปได้
ไม่นานเพื่อนๆ ของเขาก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับเซธ
แววตาที่มองฉันเต็มไปด้วยความสงสารราวกับเห็นลูกหมาถูกทอดทิ้ง
ฉันสะดุ้งเมื่อพวกเขาหันมาทางฉันแทบจะพร้อมกัน
“งั้นตอนนี้เธออยู่แก๊งเราแล้วนะวิคกี้”
พวกเขาพูดราวกับนัดกันไว้ แต่เดี๋ยวก่อน
พวกเขาลืมถามว่าฉันอยากเข้าแก๊งของพวกเขาไหม เมื่อกี้พวกเขาเอาแต่พูดเองเออเอง
แต่ดูเหมือนฉันจะแย้งไม่ทันเสียแล้ว
อยู่ๆ ฉันก็กลายเป็นสมาชิกใหม่ในแก๊งห้าคน ของแซค เคนตัน นิค แคมม์
และเซธไปเสียแล้วทั้งที่ยังไม่อยากจะเชื่อ
นับแต่วินาทีนั้นพวกเราหกคนก็กลายเป็นเพื่อนกัน
น่าแปลกที่พวกเขาเป็นกันเองกับนักศึกษาใหม่อย่างฉันได้แทบจะทันที
ทำให้ฉันไม่รู้สึกแปลกแยกหรือหวาดกลัวเลยสักนิด
และถึงพวกเขาจะหล่อจนแบบไม่ต้องสนใจใคร พวกเขากลับไม่ถือตัวและยิ้มง่าย
แต่ยิ้มพวกนั้นควรจะซ่อนจากพวกนักศึกษาหญิงให้ดีทีเดียว ไม่อย่างนั้นพวกเธออาจจะกรีดร้องจนเสียสติไปก็ได้
และอาจจะเป็นเพราะรำคาญผู้หญิงพวกเขาถึงพร้อมใจกันมาเรียนวิทยาลัยชาย
แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนของฉันแล้วตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
“เหลือเชื่อ
แต่ก็...ขอบคุณนะ”
ลมพัดใบเมเปิ้ลสีเขียวของฤดูร้อนโบกสะบัดราวเริงระบำ
บ่งบอกถึงบทเริ่มต้นที่สวยงาม ...บทเริ่มต้นระหว่างฉันกับเพื่อนใหม่ทั้งห้า
ฉันสัญญาว่าจะรักษามิตรภาพที่พวกเขาใจกว้างหยิบยื่นให้ฉันไว้อย่างดี
สุขสันต์วันเปิดเทอมนะวิคกี้
ฉันกับเพื่อนใหม่คุยกันอย่างสนุกสนานที่สนามหลังโรงเรียนจนเกือบค่ำ
“มืดแล้วล่ะ
กลับกันเถอะ” นิคบอกและลุกจากสนามหญ้าเป็นคนแรก จากนั้นคนที่เหลือก็ทยอยลุกตามไป
แคมม์เร่งดื่มกาแฟในแก้วพลาสติกให้เสร็จก่อนจะโยนทิ้งลงไปในถังขยะ
ฉันมองตามแก้วกาแฟนั้นไป
ฉันยังยืนอยู่อย่างนั้นเมื่อเพื่อนคนอื่นลุกเดินออกจากสนามไปแล้ว
“ทำอะไรอยู่วิคกี้
ไปได้แล้ว” เซธเร่งฉัน
“เดี๋ยวตามไป”
และเมื่อพวกเขาทุกคนไปไกลพอแล้วฉันก็หันซ้ายหันขวา
ก่อนจะตรงไปที่ถังขยะแล้วหยิบแก้วกาแฟใส่กระเป๋า
“มาเร็วสิ”
เซธเร่งอีก
“รู้แล้วน่า”
แล้วฉันก็วิ่งตามเพื่อนๆ ไป
หลังจากเซธกับแซคอาสามาส่งฉันที่บ้านและบอกลากันเรียบร้อย
ฉันก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอน เปิดกระเป๋าและเอาแก้วกาแฟออกมา แก้วกาแฟทิ้งคราบน้ำเปียกแฉะไว้ในกระเป๋าด้วย
ฝ่ามือของฉันสัมผัสถึงความเยือกเย็นของแก้วนั้น น้ำแข็งในแก้วละลายใกล้หมดแล้ว
และที่เจืออยู่กับเม็ดไอน้ำแวววาวบนผิวแก้วก็ราวกับสัมผัสของแคเมรอน
...แก้วใบนี้ยังเหมือนมีไออุ่นจากมือของแคเมรอนอยู่เลย...
ฉันตั้งแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่าง
จ้องมองมันอยู่เนิ่นนาน รู้สึกราวกับแก้วที่เปรอะหยาดน้ำนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง
และมันเป็นเพื่อนของฉัน... เป็นตัวแทนของเจ้าของใบหน้าที่โดดเด่นน่ามองที่สุดนั่น
“แคเมรอน...”
ฉันรู้สึกราวกับต้องมนตร์เมื่อเอ่ยชื่อที่ไพเราะนั้น ก่อนจะพูดกับแก้วกาแฟ
“ฉันขอใช้นายเป็นแก้วใส่ดินสอในห้องของฉันนะ อยู่ที่นี่กับฉันล่ะ”
แล้วหัวใจของฉันก็อบอุ่นขึ้นมา
นึกไปถึงดวงตาราวกับอัญมณีสีฟ้าที่งดงามน่าหลงใหล ล้อมกรอบไว้ด้วยเส้นผมสีดำ
วินาทีนั้นฉันมองเขาจนเหลียวหลัง แล้วฉันก็คิดถึงทุกวินาทีที่ได้เห็นเขาคนนั้น
‘ฉันชื่อวิคกี้’
‘ฉันรู้’
เขาพูดแบบนั้น
แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูกที่เขารู้จักชื่อของฉัน
แต่เดี๋ยวก่อน เขาพูดแบบนั้นก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
ในเมื่อตอนปฐมนิเทศฉันแนะนำตัวกับเพื่อนทั้งชั้นไปแล้ว ทำเป็นลืมไปได้
เพราะฉะนั้นที่เขาพูดว่ารู้แล้วก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
แต่ถึงเราจะได้อยู่แก๊งเดียวกันแล้วเราก็ยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย
ท่ามกลางทุกคนเขาเขาดูเงียบ ช่างฝัน บางครั้งดวงตางดงามเหม่อมองออกไปไกลๆ
ราวกับเขาอยู่คนเดียวเป็นบางครั้งท่ามกลางเพื่อนที่คุยสนุกสนานกันในแก๊ง
แคเมรอนมีโลกส่วนตัวสูง และในบรรดาเพื่อนห้าคนเซธดูจะสนิทกับเขามากกว่าใคร
เขาคุยกับเซธมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับที่คุยกับคนอื่น
มีบางสิ่งที่ดูราวกับภาพวาดที่อยู่ห่างไกลและจับต้องไม่ได้ในความเป็นแคเมรอน...ไม่ว่าจะแววตาหรือรอยยิ้ม
ฉันอยากจะเข้าใจเขา อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้
ฉันชื่อของเขาลงไปในสมุดบันทึก
ฉันวาดการ์ตูนเป็นรูปของเขา ฉันคิดถึงเขาจนน่าประหลาดใจ
และฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
“วิคกี้
เธอเป็นอะไรไป?? ”