วันรุ่งขึ้นฉันมาโรงเรียนแต่เช้าอีกครั้ง
แต่วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตว่าที่ข้างประตูทางเข้าอาคารมีกระดาษสี่ห้าแผ่นแปะติดผนังเอาไว้
และบนกระดาษระบุรายชื่อของนักศึกษาทั้งวิทยาลัยที่เข้าเรียนในเทอมนี้
ฉันนึกสนุกก็เลยไล่ดูชื่อและนามสกุลของนักศึกษาในชั้นปี
แล้วก็เห็นว่ามีแต่นามสกุลต่างประเทศทั้งนั้น
จริงอยู่พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นชาวคาเนเดียน
แต่เพราะแคนาดามีคนจากทั่วทุกมุมโลกอพยพเข้ามาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ทำให้ที่เป็นเหมือนเบ้าหลอมทางวัฒธรรมขนาดใหญ่
หลายครั้งเราก็เลยจะพบเห็นนามสกุลที่บอกได้ยากว่าพื้นเพเดิมมาจากที่ไหน
แต่ไม่ว่าจะมาจากส่วนใดในโลกชาวคาเนเดียนก็มักจะต้อนรับคนต่างชาติอย่างตื่นเต้น
พวกเราไม่กีดกันเรื่องสีผิวเลย
แล้วปลายนิ้วของฉันก็ลากไปสะดุดกับชื่อของเพื่อนคนแรก
“เซธ รัช”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้นามสกุลของเซธ
นามสกุลสั้นๆ ของเขาให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวดี
มันเข้ากันอย่างลงตัวกับบุคลิกที่เข้มและนิ่งของเขา
และที่จริงเขามีนามสกุลเดียวกับอัยการของเมืองนี้ที่ฉันเพิ่งอ่านเจอในข่าว เคนเน็ธ
รัชเป็นชายผู้ร่ำรวย มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพของคนทั้งเมือง
สายตาของฉันลากวนไปถึงชื่อของเพื่อนคนอื่นในแก๊ง
“เคนตัน ฮิววิทท์
แซค แบรนดอน
นิกิต้า อิวานอฟ”
แล้วสายตาของฉันก็ลากต่อไปที่ชื่อของเพื่อนคนสุดท้าย
“แคเมรอน ลีเวนท์”
ฉันรู้สึกแปลกเมื่อได้รู้นามสกุลของแคเมรอน
“ลีเวนท์? “ นามสกุลนี้ไม่ใช่นามสกุลของซีกโลกตะวันตกเลย
ทำให้ฉันเชื่อว่าบรรพบุรุษของเขาอาจเดินทางมาจากเส้นแบ่งที่สง่างามระหว่างยุโรปและเอเชีย
จุดที่โลกทั้งสองฟากมาบรรจบกัน ช่องแคบบอสฟอร์รัสและทะเลมาร์มาร่าที่งดงาม
จะเรียกโลกแถบนั้นว่ากึ่งกลางโลกก็ย่อมได้ และนี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้แคเมรอนถูกสร้างให้มีนัยน์ตาสีฟ้าและเส้นผมสีดำสนิทราวกับของขวัญจากโลกทั้งสองฟากเอาไว้
กลางโลกหรือมิดเดิลเอิร์ธทำให้ฉันนึกถึงเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์ขึ้นมาทันที
สิ่งที่มาจากกลางโลกคือแหวน แหวนทองนั้นครอบงำทุกคนที่ได้พบเจอ
และไม่ว่าใครก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา...ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน
กอลลัมเป็นผู้หนึ่งที่หลงรักแหวนจนต้องสูญเสียจิตวิญญาณที่ดีงามไป
ทุกค่ำคืนเขาคร่ำครวญหาแหวนและเรียกมันว่า “สิ่งล้ำค่าของข้า”
สิ่งล้ำค่าเดินมาแล้ว! เปล่าเลย แคเมรอนต่างหาก
เขากำลังเดินมาทางฉันพร้อมกับเซธ
“อรุณสวัสดิ์” แคมม์กับเซธทัก
แล้วแคมม์หันมาพูดกับฉัน “ฉันเห็นบางอย่างวางอยู่ในห้องเรียน มีโน๊ตถึงเธอด้วย
เธอน่าจะลองไปดูนะ”
แล้วแคมม์ยิ้มบางก่อนที่เขากับเซธจะเดินผ่านหน้าฉันไป
พวกเขามีเรียนด้วยกัน ฉันเดินไปดูสิ่งที่แคมม์พูดถึง ห้องเรียนยังไม่ทันเปิดไฟ ฉันเห็นสิ่งหนึ่งที่ดูสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ดวงโตวางอยู่บนโต๊ะที่ฉันนั่งเมื่อวาน
มันคือดอกทานตะวันดอกใหญ่ และที่ก้านอวบและยาวมีกระดาษโน๊ตผูกเอาไว้
“สำหรับวิคกี้” ในโน้ตเขียนไว้แค่นั้นด้วยตัวหนังสือที่ไม่สวยเท่าไหร่
“อะไรกันเนี่ย”
ฉันพึมพำกับตัวเองและมองไปรอบห้อง ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย
คนที่ให้ดอกไม้กับฉันไม่ยอมแสดงตัว ฉันได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนให้ดอกไม้นี้กับฉัน
อาจเป็นนักศึกษาชายบางคน ฉันนึกถึงเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่เพิ่งบอกความลับนี้กับฉัน
เผลอนึกไปว่าอาจเป็นแคเมรอนเองแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิด เขาอาจจะแค่ผ่านมาเห็นก็เลยบอกเท่านั้น
ฉันได้แต่จ้องมองดอกทานตะวันที่แสงสดใสนั้น
และได้แต่สงสัยว่าคนที่มอบมันให้กับฉันเป็นใครกัน
วันที่สามของการเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างดีเยี่ยม
ทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาในวิทยาลัยและเจอพวกเขา พวกเขาก็ทักทายทันที
“สวัสดี วิคกี้“
“สวัสดี”
เพื่อนใหม่ห้าคนของฉันนอกจากจะนิสัยดีแล้วยังดูแลฉันอย่างเอาจริงเอาจังด้วย
ทุกครั้งที่เจอกันพวกเขาจะเข้ามาทัก ถามไถ่และให้กำลังใจ
และถึงจะผ่านมาแล้วสามวันก็เหมือนพวกเขาจะยังกลัวว่าฉันอาจจะลาออกโดยไม่บอกกล่าวก็ได้
และบางทีฉันอาจจะหนีกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่วันแรกถ้าพวกเขาไม่ช่วยเอาไว้
ด้วยความที่เป็นวิทยาลัยขนาดเล็กพวกเราก็เลยเจอกันบ่อยครั้งทั้งในชั้นเรียนและตามทางเดิน
บางวิชาฉันก็ได้เรียนกับพวกเขา บางวิชาก็ไม่
แต่ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉันอีกแล้ว ฉันไม่เหงาเลย
และไม่กลัวที่จะต้องเป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวอีกต่อไป เพื่อนๆ
ที่แสนดีทำให้ฉันอุ่นใจและรักที่นี่
พอถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนๆ
ก็ชวนฉันไปดาวน์ทาวน์เพื่อสั่งพิซซ่ามากินด้วยกัน
ฉันหลงรักเมืองอาร์เธอร์ที่น่ารักและเงียบสงบแห่งนี้เข้าแล้ว
ตลอดสองข้างทางเดินเข้าเมืองขนาบด้วยบ้านหลังเล็กใหญ่ที่น่ารักและสดใสเหมือนบ้านตุ๊กตา
หน้าบ้านตกแต่งดอกไม้และของประดับสวนหลากชนิด
คั่นด้วยต้นเมเปิ้ลใหญ่สีเขียวครึ้มที่มีหลากหลายพันธุ์ ใบหยักๆ
หลายแบบที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครของมันทำให้คนที่นี่รักต้นเมเปิ้ลมากพอที่จะวาดมันไว้บนธงชาติ
และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ธงชาติดูจริงจังและเคร่งขรึม
ธงของแคนาดาที่มีใบเมเปิ้ลสีแดงตรงกลางกลับดูน่ารักและเป็นมิตรกว่าธงของชาติอื่นเป็นไหนๆ
และคนคาเนเดียนก็มีนิสัยเป็นมิตรและดูร่าเริงแบบนั้นเหมือนกัน ฉันรักวิทยาลัยใหม่ เมืองใหม่
และเพื่อนใหม่ของฉันจริงๆ
ในที่สุดฉันก็ผ่านการเรียนวิชาสุดท้ายของวันที่สามไปได้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้เจอกับเพื่อนๆ เป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง
เพราะทุกเย็นเราจะนัดกันที่สนามหญ้าหลังวิทยาลัย
ฉันสูดหายใจลึกรับอากาศเย็นโล่งเมื่อเดินมาถึง
สนามหญ้าเขียวสดกำลังบอกรักกับสายลมเย็น กิ่งก้านเมเปิ้ลโบกไกวราวกับเริงระบำให้ท้องฟ้าสดใส
หากแต่ทั้งที่คิดว่าตนเองมาถึงที่นี่เป็นคนแรกกลับไม่ใช่
เพราะเมื่อมองเลยไปอีกนิดฉันก็เห็นว่ามีใครมาคนมาถึงก่อนฉันแล้ว
ฉันหายใจสะดุดเมื่อสายตาลากไปบรรจบกับร่างสูงที่เห็น
แคเมรอนกำลังนั่งอยู่ที่ราวบันได และในชั่วขณะนี้ก็ไม่ต่างจากวันแรกที่ฉันเห็นเขา
แคเมรอนดูหล่อเหลาจนยากจะละสายตาไปได้ดังเช่นวันแรกนั้น
ดวงตาสีน้ำเงินอมฟ้าราวกับห้วงน้ำลึกของเขาทอดมองออกไปไกล
ปล่อยสายลมเย็นไล้เส้นผมราวกับหยอกล้อกับความงดงามของตัวเอง
สำหรับฉันเขาดูราวกับเจ้าชายปริศนาที่ห่างไกลจนเอื้อมคว้าไว้ไม่ได้
และฉันจะไม่มีวันยอมให้เขาล่วงรู้ว่ามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งชอบแอบมองเขาอย่างลืมเวลา
ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉัน
“ไฮ”
เขาทักฉันก่อนเหมือนทุกครั้ง
“หวัดดีแคมม์
นายมาเป็นคนแรกบ่อยๆเหรอ? ”
“เปล่าหรอก
แค่บางครั้ง” เขายิ้มบาง “เธอเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ทั้งที่ถูกถามด้วยคำถามธรรมดาฉันกลับเกร็งอย่างช่วยไม่ได้
คงเพราะดวงตาที่งดงามเกินไปคู่นั้น…
“สบายดี
ขอบใจ”
“เพื่อนทุกคนดีกับเธอหรือเปล่า?
” คำถามที่ไม่ได้พิเศษมากไปกว่าคำถามแรกทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะไป
“ทุกคนดีกับฉันมาก
ขอบคุณนะที่ช่วยฉันไว้
ไม่อย่างนั้นการเป็นนักเรียนหญิงคนเดียวที่นี่คงจะเหมือนฝันร้ายเลยล่ะ”
“เธอควรจะขอบคุณเซธมากกว่า”
เสียงของแคมม์อ่อนโยน
“จริงสินะ”
แล้วแคมม์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดที่ว่างเหนือราวบันไดให้ฉัน
“นั่งสิ”
ฉันนั่งลงข้างแคมม์
ลอบมองดวงตาสีฟ้าคมคายที่ลากกลับไปทาบขอบฟ้าไกล “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักเธอเลย
เล่าเรื่องของเธอให้ฟังบ้างสิ”
ดวงตางดงามที่ลากกลับมามองฉันชั่วครู่ทำให้ฉันหายใจสะดุดอีกครั้ง
แต่แล้วฉันตั้งหลักตอบออกไปจนได้
“ฉันมาจากโทรอนโต บ้านอยู่ใกล้ๆ ปราสาทคาซาโลม่า
พ่อของฉันเป็นนายธนาคารที่เกษียณอายุแล้ว
ส่วนคุณแม่เป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสารแอลแคนาดา
หลังจากทั้งคู่เกษียณก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเหมือนฮันนีมูนตลอดเวลา
หลายครั้งพวกท่านไปประเทศยากจนในแอฟริกา อเมริกาใต้
และเอเชียเพื่อเป็นอาสาสมัครให้เอ็นจีโอช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาส
ก่อนเปิดเทอมพ่อแม่บอกฉันว่าจะไปทริปยาวเกือบหนึ่งปีที่มองโกเลีย
แต่เพราะพวกท่านรู้ว่าฉันเป็นคนติดที่
ไม่ค่อยชอบออกนอกประเทศสักเท่าไหร่จนถูกแซวว่าคงจะตายอยู่บนแผ่นดินแคนาดาในฐานะผู้รักชาติ
พวกท่านก็เลยให้ฉันหาที่เรียนใหม่ตามใจหากการเรียนที่วิทยาลัยในโทรอนโตเหมือนเดิมจะทำให้เหงาและคิดถึงพวกท่านมากเกินไป
อีกอย่างก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเอาสนุกด้วย
ฉันก็เลยหลับตาจิ้มแล้วเจอกับเข้าเมืองนี้
พอค้นหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในเมืองก็เห็นว่าสวยดี
สุดท้ายฉันก็มาอยู่ที่นี่...กับพวกนาย”
“น่าสนุกดีนะ”
แคมม์ราวกับทึ่งในวิธีเลือกหาที่เรียนอันแปลกประหลาดของฉัน “แล้วก็กล้าหาญทีเดียว
ต่างกับฉันที่มักจะอยู่เฉยๆ ฉันชอบที่จะอยู่กับสิ่งเดิมๆ
และบางทีก็ฝันว่าโลกจะไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“งั้นเหรอ...”
ฉันคิดว่าแคเมรอนเป็นผู้ชายที่แปลกเหลือเกิน
“ฉันไม่เคยเจอใครแบบเธอเลย”
แคมม์ลากสายตามามองฉันอีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ฉันมันใจว่าตัวเองกำลังหน้าแดง
และฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกลบเกลื่อน
“นายดื่มอะไรอยู่น่ะ?
” ฉันหาเรื่องคุยสำเร็จแล้ว
“ลองไหม?
” แทนคำตอบแคมม์กลับยื่นแก้วในมือเรียวยาวให้ฉัน
“มันคืออะไรล่ะ?
“
“กาแฟธรรมดา
ไม่ต้องกลัว” เขาคงพูดแบบนั้นเพราะเห็นฉันเกร็ง ทั้งที่ฉันเกร็งเรื่องอื่น
หาใช่เรื่องกาแฟสักนิด ฉันมองแก้วกาแฟ
รู้สึกว่าแก้วและหลอดนั้นโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้อยู่ในมือของเขา
และหลอดนั้น...ฉันกำลังจะได้ใช้ร่วมกับเขา...ราวกับจูบทางอ้อม
ฉันเกร็งเต็มที่เมื่อดูดหลอดนั้น
และไม่แปลกที่แคมม์จะนึกว่าฉันกลัวหรือเกลียดกาแฟ
“ชอบไหม?
” เขาถามราวกับลังเล
ฉันนิ่งไป แคมม์หวาดหวั่นกว่าเดิม
แต่เมื่อฉันตอบออกไปเขาก็ยิ้มโล่งออกมา “ฉันไม่เคยกินกาแฟที่ไหนอร่อยแบบนี้เลย”
“ล้อเล่นหรือเปล่า
แค่กาแฟคาราเมลธรรมดาๆ”
“กาแฟคาราเมลเหรอ
อร่อยจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่ฉันได้กินกาแฟใส่คาราเมล”
ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ
รู้ตัวทันทีว่าอาจชอบกาแฟชนิดนี้แบบลำเอียงเพียงเพราะมันเป็นกาแฟที่แคมม์เลือก
“งั้นรอที่นี่นะ”
แคมม์ลุกเดินไปที่ซุ้มขายกาแฟเล็กจิ๋วหน้าตาน่ารักข้างตึก
ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกาแฟแก้วใหม่ในมือ แล้วมือสีขาวงดงามก็ยื่นแก้วให้ฉัน
“สำหรับเพื่อนใหม่ ยินดีต้อนรับเข้าแก๊งนะ”
ยิ้มของเขาทำให้สายลมเคลื่อนไหวทั้งที่เมื่อครู่นิ่งงัน
อย่างเชื่องช้า...ฉันยื่นมือไปรับกาแฟแก้วนั้น “ขอบใจ แคเมรอน”
แล้วแคมม์มองเลยหลังฉันไป “เซธ เรียนอะไรมา? ”
“เมคาทรอนิคส์”
คนที่เพิ่งมาถึงตอบ
“หือ?
หน้าอย่างนายเรียนวิศวะ?” ฉันร้องเสียงสูง
“เซธเรียนเก่งนะ”
แคมม์โฆษณาเพื่อน “เขาต้องคอยติวคณิตศาสตร์ให้ฉันอยู่เรื่อย เราก็เลยสนิทกันมาก”
“พ่อของฉันเป็นเพื่อนกับพ่อของแคมม์
เราก็เลยสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราเหมือนโตมาด้วยกัน
ฉันไปเล่นบ้านแคมม์แทบจะทุกเสาร์” เซธอธิบาย
“สนิท...”
ฉันมองแคมม์ที่ยืนเคียงข้างเซธอย่างพิจารณา พวกเขาหล่อเหลาจนหน้าทึ่ง
ถึงจะต่างกันแบบสุดขั้วก็ตาม แคมม์ดูหล่อเหลาราวกับภาพวาดที่งดงาม แต่เซธดูเท่
แกร่ง และเนี้ยบราวกับนายแบบระดับโลก ถึงออกจะดูดิบและน่ากลัวอยู่บ้าง
นั่นก็เพราะไม่มีใครเคยเห็นเซธยิ้มเลย ริมฝีปากงดงามของเขาเรียบเป็นเส้นตรงเสมอ
“พวกนายไม่ใช่แฟนกันใช่ไหม? ”
คำถามของฉันทำให้พวกเขาแทบหงาย
แคมม์หัวเราะออกมา แต่เซธทำหน้าเหมือนอมนมบูดเข้าไป เขาตวาดจนฉันสะดุ้ง “มองอะไร! หรืออยากตาย? ”
ฉันหมอบเอามือกุมหัวเหมือนเครื่องบินจะตก
แต่เซธกลับไม่ได้ตะคอกฉันอย่างที่เข้าใจ
เขากำลังคุ้มกันฉันจากสายตาของนักศึกษาชายสามคนที่มาเดินป้วนเปี้ยนและส่งตาหวานมาต่างหาก
“หวา เปล่าครับท่าน” พวกเขากลัวจนตัวสั่น
“งั้นก็รีบไสหัวไป! ”
“รับทราบครับ” แล้วพวกนั้นก็วิ่งแน่บไป ฉันยิ้ม
มั่นใจเต็มร้อยว่าเมื่ออยู่เคียงข้างเซธและท่ามกลางร่างสูงใหญ่ของเพื่อนๆ ในแก๊ง
ฉันจะปลอดภัยราวกับไข่ในหิน
แต่ถึงพวกนึกศึกษาชายปอดแหกพวกนั้นจะไปไกลแล้วก็ยังไม่อดตัดพ้อ
“แค่มองก็ไม่ได้ ท่านเซธใจร้าย”
“อยากโดนกระทืบใช่ไหม...”
เสียงของเซธฟังเลือดเย็น ทำให้พวกนั้นวิ่งเตลิดไปจนไม่เห็นเงา
“นายใจร้ายจังเซธ
พวกนั้นก็แค่อยากมองนายกับแคมม์ไม่ใช่หรือไง” ฉันล้อ
“ไม่ใช่”
แคมม์บอก “พวกเขามองเธอต่างหาก วิคกี้”
“หา?
มองฉัน?” ฉันร้องอย่างไม่เชื่อหู
“อย่านึกว่าเพราะตัวเองสวยเป็นอันขาด
เพราะถึงจะหน้าตาน่าเกลียดหรือหน้าเหมือนลิง แต่เป็นผู้หญิงคนเดียวแบบนี้ก็ต้องถูกมองอยู่ดี”
เซธว่า
“เซธ
นายพูดด้วยอวัยวะส่วนไหน” ฉันทุบเซธแรงๆ
“ทำเป็นพูดไป
ยังไงก็ต้องถือว่าวิคกี้สวยสุดในโรงเรียนไม่ใช่หรือไง นายมันก็แค่ปากแข็ง”
เคนตันที่เพิ่งมาถึงปรามเซธทันที
และเมื่อฉันหันไปก็พบว่าเพื่อนในแก๊งทุกคนมากันครบแล้ว
พวกเรานั่งๆ นอนๆ คุยเล่นกันในสนามหญ้า
บรรยากาศรอบข้างสวยสดใสราวกับภาพวาด พื้นหญ้าหนานุ่มและเย็นเฉียบเมื่อเกลือกกลิ้ง
อากาศโปร่งโล่ง ท้องฟ้ากว้างเหนือขึ้นไปอาบสีครามเข้มสะดุดตา
ตัดด้วยหมู่เมฆสีขาวราวกับฝูงแกะที่เปล่งสว่างราวกับเรืองแสง
ลมพัดเย็นแทรกเข้ามาในเสียงพูดคุยและหัวเราะของเรา
และเลาะผ่านไปตามเส้นผมสีดำสนิทของแคเมรอน...
ฉันเผลอมองเขาอีกแล้ว...
“แสงเงาตรงนี้สวยดีนะ
มาถ่ายรูปกันดีกว่า”
ฉันลุกวิ่งไปหานักศึกษารุ่นน้องคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนไม้ต่อขาสูงหลายเมตรเพื่อยื่นมือถือให้
เขาคงเตรียมซ้อมเดินขาไม้ในงานพาเหรดชาวนา “ถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ”
แล้วฉันก็วิ่งกลับมาที่กลุ่มเพื่อน
“หนึ่ง...สอง...สาม
ชีส...”
แชะ
“โอเคไหมฮะ”
คนถ่ายยื่นมือถือห้ฉันดู
“วะ...ว้าว”
รูปในมือถือทำให้ฉันตื่นเต้น “เยี่ยมมากเลย ขอบใจนะ”
แล้วฉันก็ยิ้มกว้างให้รุ่นน้องที่ถ่ายรูปให้ แต่เขากลังหน้าแดงแล้วค่อยๆ
หงายไปข้างหลัง
โครม! เขาหล่นจากไม้ลงไปนอนหงายอยู่บนหญ้า
ทำเอาเพื่อนร่วมแก๊งของฉันหัวเราะกันใหญ่จนคนตกไม้วิ่งหนีแก้เขินแทบไม่ทัน
ฉันเอียงหัวงงๆ ก่อนจะก้มลงมองภาพบนสกรีนอีกครั้ง แล้วฉันก็อดยิ้มไม่ได้
รูปที่ถ่ายออกมาเป็นภาพมุมเงยของพวกเราที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างมีชีวิตชีวา
ทว่าทั้งที่เพื่อนทุกคนทำตัวตามสบาย รูปที่ได้กลับดูราวกับรูปถ่ายของกลุ่มนายแบบของมืออาชีพที่เด่นสะดุดตา
พวกเขาหน้าตาดีเกินไป มีเสน่ห์เกินไปจนน่าอิจฉา
โดดเด่นไปคนละแบบแต่รวมกันแล้วลงตัวอย่างน่าประหลาด
เพื่อนทุกคนของฉันหล่อเหลาไร้ที่ติในแบบของตัวเอง
แคเมรอน ชายที่ดูราวกับใบเมเปิ้ลในฤดูร้อนบนท้องฟ้าสีฟ้าจัด
ฟากฟ้านั้นสูงลึกล้ำและแสนห่างไกล
นิกิต้ากับรอยยิ้มบางเหมือนกับเจ้าชาย
ดูงดงามราวกับกิ่งเมเปิ้ลเปลือยเปล่าใต้แสงจันทร์ในคืนเยือกเย็นที่หิมะโปรยปราย
แซค
ชายที่ดูสดใสราวกับใบเมเปิ้ลสีเขียวที่เริงระบำในเสียงหัวเราะของสายลมฤดูร้อน
เซธ
ชายที่ดูหล่อเหลาและโดดเด่นอย่างน่าประหลาดใจ
ดูแกร่งและเคร่งขรึมราวกับใบเมเปิ้ลสีแดงหม่นของฤดูใบไม้ร่วง
และเคนตัน
ชายหน้าตาดีไร้ที่ติ เขาดูน่ามองราวกับใบเมเปิ้ลสีเขียวอ่อนในฤดูใบไม้ผลิที่แสนสดใส
แต่ที่รูปนี้ดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อก็เพราะเพื่อนทุกคนของฉันเกิดมาเพื่อที่จะถ่ายรูปออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกเวลา
เพราะฉะนั้นถึงไม่ปรับแต่งอะไรรูปนี้ก็เป็นรูปของกลุ่มผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้
แล้วเสียงของแคมม์ก็ทำให้ฉันต้องเงยขึ้นจากรูปในมือของตัวเอง
“เฮ้เพื่อน
ฉันต้องไปแล้ว ไว้เจอกัน” อยู่ๆ แคมม์ก็ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกไป
“อ้าว” ฉันออกจะผิดหวัง
“แคมม์จะรีบไปไหนเหรอ”
“ไปหาแฟน” เคนตันบอก
“ฟะ...แฟน!? ” ฉันตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่า
“ตกใจอะไรล่ะ” เซธถาม
“อะ...เอ้อ...อ่า...เปล่า”
ฟังไม่ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะฉันเป็นชาวคาเนเดียนที่พูดภาษาอังกฤษ และทุกคนที่นี่ก็เป็นชาวคาเนเดียนที่พูดภาษาอังกฤษ
แคเมรอนมีแฟนแล้ว ฉันไดยินชัดเจน
ทุกอย่างจบลงแล้ว จบบริบูรณ์
เกมโอเวอร์ ดิเอนด์ จบแบบไม่มีภาคต่อ
“หัวเราะอะไรเหรอวิคกี้”
จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆๆๆ”
หลังอกหักจากแคมม์ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มฉันก็เดินกลับบ้าน
แซคมาส่งฉัน บ้านของเราอยู่ย่านดาวน์ทาวน์ใกล้วิทยาลัยเหมือนกัน
อาร์เธอร์เป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบและน่าอยู่
เพราะอย่างนั้นถึงออกจะเป็นเรื่องแปลกและรับไม่ได้ที่จะมีแก๊งอันธพาล
และเพราะเหตุผลนั้นเพื่อนๆ
ถึงได้จัดเวรมาส่งผู้หญิงคนเดียวอย่างฉันเพื่อความปลอดภัย และถึงฉันจะเกรงใจจนอยากปฏิเสธ
แต่ก็ทนเพื่อนๆ คะยั้นคะยอด้วยความหวังดีไม่ได้
เพื่อนๆ
ตกลงกันว่าจะเวียนกันมาส่งฉันทุกวันไม่ขาด แซคจะมาส่งบ่อยหน่อยเพราะบ้านอยู่ใกล้
รองลงมาก็คือเคนตันเพราะบ้านของเขากับฉันห่างกันแค่สามบล็อคเท่านั้น
ฉันรู้สึกเหมือนเพื่อนๆ ทุกคนทำตัวเป็นองครักษ์ของฉันเลย
พูดถึงเรื่องแคเมรอนฉันคิดว่าตัวเองน่าจะหายอกหักจากเขาได้ง่ายๆ เพราะฉันเพิ่งแอบชอบเขามาได้ไม่กี่วัน
และนิสัยส่วนตัวของฉันเองก็เป็นคนทำใจง่าย
ฉันไม่ชอบจมอยู่กับความเศร้าหรือยึดติดกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ฉันดีใจด้วยซ้ำที่รู้ว่าเขามีแฟนตั้งแต่วันแรกๆ
ฉันจะได้ตัดใจทัน
จริงอยู่ที่การมีเพื่อนตัวสูงเดินมาเป็นเพื่อนเพื่อกันอันธพาลเป็นเรื่องดี
แต่ก็มีบางอย่างที่ฉันไม่ชอบอยู่เหมือนกัน
ฉันไม่สนุกเลยกับการตกเป็นเป้าสายตาของผู้หญิงด้วยกัน
ผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านเราจะต้องมองแซคจนเหลียวหลังเพราะเขาหล่อแบบไม่เกรงใจใครหน้าไหน
แล้วฉันก็ไม่พ้นถูกมองไปด้วยเพราะเดินมาด้วยกัน พูดง่ายๆ
ก็คือการเดินข้างผู้ชายหน้าตาดีทำให้ฉันเกร็งเหมือนกำลังเดินอยู่กับดารา
การที่แซคเดินมาส่งฉันอย่างไม่อิดออดแบบนี้ทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดีมาก
เขาไม่แค่มาส่งฉันถึงหน้าบ้าน แต่ยังยืนรอดูให้แน่ใจว่าฉันหากุญแจบ้านเจอและเปิดเข้าบ้านได้
หลังจากนั้นเขาถึงจะค่อยลาไป
“ขอบใจนะ บาย...”
|
|
|
|