protect copy

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Maple Rhapsody บทที่ 2 Boy Friends








วันรุ่งขึ้นฉันมาโรงเรียนแต่เช้าอีกครั้ง แต่วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตว่าที่ข้างประตูทางเข้าอาคารมีกระดาษสี่ห้าแผ่นแปะติดผนังเอาไว้ และบนกระดาษระบุรายชื่อของนักศึกษาทั้งวิทยาลัยที่เข้าเรียนในเทอมนี้
ฉันนึกสนุกก็เลยไล่ดูชื่อและนามสกุลของนักศึกษาในชั้นปี แล้วก็เห็นว่ามีแต่นามสกุลต่างประเทศทั้งนั้น จริงอยู่พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นชาวคาเนเดียน แต่เพราะแคนาดามีคนจากทั่วทุกมุมโลกอพยพเข้ามาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ทำให้ที่เป็นเหมือนเบ้าหลอมทางวัฒธรรมขนาดใหญ่ หลายครั้งเราก็เลยจะพบเห็นนามสกุลที่บอกได้ยากว่าพื้นเพเดิมมาจากที่ไหน แต่ไม่ว่าจะมาจากส่วนใดในโลกชาวคาเนเดียนก็มักจะต้อนรับคนต่างชาติอย่างตื่นเต้น พวกเราไม่กีดกันเรื่องสีผิวเลย
แล้วปลายนิ้วของฉันก็ลากไปสะดุดกับชื่อของเพื่อนคนแรก
“เซธ รัช”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้นามสกุลของเซธ นามสกุลสั้นๆ ของเขาให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวดี มันเข้ากันอย่างลงตัวกับบุคลิกที่เข้มและนิ่งของเขา และที่จริงเขามีนามสกุลเดียวกับอัยการของเมืองนี้ที่ฉันเพิ่งอ่านเจอในข่าว เคนเน็ธ รัชเป็นชายผู้ร่ำรวย มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพของคนทั้งเมือง
สายตาของฉันลากวนไปถึงชื่อของเพื่อนคนอื่นในแก๊ง
“เคนตัน ฮิววิทท์
แซค แบรนดอน
นิกิต้า อิวานอฟ”
แล้วสายตาของฉันก็ลากต่อไปที่ชื่อของเพื่อนคนสุดท้าย
“แคเมรอน ลีเวนท์”


ฉันรู้สึกแปลกเมื่อได้รู้นามสกุลของแคเมรอน
“ลีเวนท์? “ นามสกุลนี้ไม่ใช่นามสกุลของซีกโลกตะวันตกเลย ทำให้ฉันเชื่อว่าบรรพบุรุษของเขาอาจเดินทางมาจากเส้นแบ่งที่สง่างามระหว่างยุโรปและเอเชีย จุดที่โลกทั้งสองฟากมาบรรจบกัน ช่องแคบบอสฟอร์รัสและทะเลมาร์มาร่าที่งดงาม จะเรียกโลกแถบนั้นว่ากึ่งกลางโลกก็ย่อมได้ และนี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้แคเมรอนถูกสร้างให้มีนัยน์ตาสีฟ้าและเส้นผมสีดำสนิทราวกับของขวัญจากโลกทั้งสองฟากเอาไว้
กลางโลกหรือมิดเดิลเอิร์ธทำให้ฉันนึกถึงเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์ขึ้นมาทันที สิ่งที่มาจากกลางโลกคือแหวน แหวนทองนั้นครอบงำทุกคนที่ได้พบเจอ และไม่ว่าใครก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา...ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน  กอลลัมเป็นผู้หนึ่งที่หลงรักแหวนจนต้องสูญเสียจิตวิญญาณที่ดีงามไป ทุกค่ำคืนเขาคร่ำครวญหาแหวนและเรียกมันว่า “สิ่งล้ำค่าของข้า”
สิ่งล้ำค่าเดินมาแล้ว! เปล่าเลย แคเมรอนต่างหาก เขากำลังเดินมาทางฉันพร้อมกับเซธ
“อรุณสวัสดิ์” แคมม์กับเซธทัก แล้วแคมม์หันมาพูดกับฉัน “ฉันเห็นบางอย่างวางอยู่ในห้องเรียน มีโน๊ตถึงเธอด้วย เธอน่าจะลองไปดูนะ”
แล้วแคมม์ยิ้มบางก่อนที่เขากับเซธจะเดินผ่านหน้าฉันไป พวกเขามีเรียนด้วยกัน ฉันเดินไปดูสิ่งที่แคมม์พูดถึง ห้องเรียนยังไม่ทันเปิดไฟ ฉันเห็นสิ่งหนึ่งที่ดูสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ดวงโตวางอยู่บนโต๊ะที่ฉันนั่งเมื่อวาน มันคือดอกทานตะวันดอกใหญ่ และที่ก้านอวบและยาวมีกระดาษโน๊ตผูกเอาไว้
“สำหรับวิคกี้” ในโน้ตเขียนไว้แค่นั้นด้วยตัวหนังสือที่ไม่สวยเท่าไหร่
“อะไรกันเนี่ย” ฉันพึมพำกับตัวเองและมองไปรอบห้อง ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย คนที่ให้ดอกไม้กับฉันไม่ยอมแสดงตัว ฉันได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนให้ดอกไม้นี้กับฉัน อาจเป็นนักศึกษาชายบางคน ฉันนึกถึงเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่เพิ่งบอกความลับนี้กับฉัน เผลอนึกไปว่าอาจเป็นแคเมรอนเองแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิด เขาอาจจะแค่ผ่านมาเห็นก็เลยบอกเท่านั้น
ฉันได้แต่จ้องมองดอกทานตะวันที่แสงสดใสนั้น และได้แต่สงสัยว่าคนที่มอบมันให้กับฉันเป็นใครกัน 

วันที่สามของการเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างดีเยี่ยม ทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาในวิทยาลัยและเจอพวกเขา พวกเขาก็ทักทายทันที
“สวัสดี วิคกี้“
“สวัสดี”
เพื่อนใหม่ห้าคนของฉันนอกจากจะนิสัยดีแล้วยังดูแลฉันอย่างเอาจริงเอาจังด้วย ทุกครั้งที่เจอกันพวกเขาจะเข้ามาทัก ถามไถ่และให้กำลังใจ และถึงจะผ่านมาแล้วสามวันก็เหมือนพวกเขาจะยังกลัวว่าฉันอาจจะลาออกโดยไม่บอกกล่าวก็ได้ และบางทีฉันอาจจะหนีกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่วันแรกถ้าพวกเขาไม่ช่วยเอาไว้
 ด้วยความที่เป็นวิทยาลัยขนาดเล็กพวกเราก็เลยเจอกันบ่อยครั้งทั้งในชั้นเรียนและตามทางเดิน บางวิชาฉันก็ได้เรียนกับพวกเขา บางวิชาก็ไม่ แต่ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉันอีกแล้ว ฉันไม่เหงาเลย และไม่กลัวที่จะต้องเป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวอีกต่อไป เพื่อนๆ ที่แสนดีทำให้ฉันอุ่นใจและรักที่นี่
   พอถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนๆ ก็ชวนฉันไปดาวน์ทาวน์เพื่อสั่งพิซซ่ามากินด้วยกัน ฉันหลงรักเมืองอาร์เธอร์ที่น่ารักและเงียบสงบแห่งนี้เข้าแล้ว ตลอดสองข้างทางเดินเข้าเมืองขนาบด้วยบ้านหลังเล็กใหญ่ที่น่ารักและสดใสเหมือนบ้านตุ๊กตา หน้าบ้านตกแต่งดอกไม้และของประดับสวนหลากชนิด คั่นด้วยต้นเมเปิ้ลใหญ่สีเขียวครึ้มที่มีหลากหลายพันธุ์ ใบหยักๆ หลายแบบที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครของมันทำให้คนที่นี่รักต้นเมเปิ้ลมากพอที่จะวาดมันไว้บนธงชาติ และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ธงชาติดูจริงจังและเคร่งขรึม ธงของแคนาดาที่มีใบเมเปิ้ลสีแดงตรงกลางกลับดูน่ารักและเป็นมิตรกว่าธงของชาติอื่นเป็นไหนๆ และคนคาเนเดียนก็มีนิสัยเป็นมิตรและดูร่าเริงแบบนั้นเหมือนกัน  ฉันรักวิทยาลัยใหม่ เมืองใหม่ และเพื่อนใหม่ของฉันจริงๆ
   ในที่สุดฉันก็ผ่านการเรียนวิชาสุดท้ายของวันที่สามไปได้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้เจอกับเพื่อนๆ เป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง เพราะทุกเย็นเราจะนัดกันที่สนามหญ้าหลังวิทยาลัย
ฉันสูดหายใจลึกรับอากาศเย็นโล่งเมื่อเดินมาถึง สนามหญ้าเขียวสดกำลังบอกรักกับสายลมเย็น กิ่งก้านเมเปิ้ลโบกไกวราวกับเริงระบำให้ท้องฟ้าสดใส หากแต่ทั้งที่คิดว่าตนเองมาถึงที่นี่เป็นคนแรกกลับไม่ใช่ เพราะเมื่อมองเลยไปอีกนิดฉันก็เห็นว่ามีใครมาคนมาถึงก่อนฉันแล้ว
   ฉันหายใจสะดุดเมื่อสายตาลากไปบรรจบกับร่างสูงที่เห็น แคเมรอนกำลังนั่งอยู่ที่ราวบันได และในชั่วขณะนี้ก็ไม่ต่างจากวันแรกที่ฉันเห็นเขา แคเมรอนดูหล่อเหลาจนยากจะละสายตาไปได้ดังเช่นวันแรกนั้น ดวงตาสีน้ำเงินอมฟ้าราวกับห้วงน้ำลึกของเขาทอดมองออกไปไกล ปล่อยสายลมเย็นไล้เส้นผมราวกับหยอกล้อกับความงดงามของตัวเอง สำหรับฉันเขาดูราวกับเจ้าชายปริศนาที่ห่างไกลจนเอื้อมคว้าไว้ไม่ได้ และฉันจะไม่มีวันยอมให้เขาล่วงรู้ว่ามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งชอบแอบมองเขาอย่างลืมเวลา
ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉัน
“ไฮ” เขาทักฉันก่อนเหมือนทุกครั้ง
“หวัดดีแคมม์ นายมาเป็นคนแรกบ่อยๆเหรอ? ”
“เปล่าหรอก แค่บางครั้ง” เขายิ้มบาง “เธอเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ทั้งที่ถูกถามด้วยคำถามธรรมดาฉันกลับเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ คงเพราะดวงตาที่งดงามเกินไปคู่นั้น
“สบายดี ขอบใจ”
“เพื่อนทุกคนดีกับเธอหรือเปล่า? ” คำถามที่ไม่ได้พิเศษมากไปกว่าคำถามแรกทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะไป
“ทุกคนดีกับฉันมาก ขอบคุณนะที่ช่วยฉันไว้ ไม่อย่างนั้นการเป็นนักเรียนหญิงคนเดียวที่นี่คงจะเหมือนฝันร้ายเลยล่ะ”
“เธอควรจะขอบคุณเซธมากกว่า” เสียงของแคมม์อ่อนโยน
“จริงสินะ”
แล้วแคมม์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดที่ว่างเหนือราวบันไดให้ฉัน “นั่งสิ”
ฉันนั่งลงข้างแคมม์ ลอบมองดวงตาสีฟ้าคมคายที่ลากกลับไปทาบขอบฟ้าไกล “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักเธอเลย เล่าเรื่องของเธอให้ฟังบ้างสิ”
ดวงตางดงามที่ลากกลับมามองฉันชั่วครู่ทำให้ฉันหายใจสะดุดอีกครั้ง แต่แล้วฉันตั้งหลักตอบออกไปจนได้ 
 “ฉันมาจากโทรอนโต บ้านอยู่ใกล้ๆ ปราสาทคาซาโลม่า พ่อของฉันเป็นนายธนาคารที่เกษียณอายุแล้ว ส่วนคุณแม่เป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสารแอลแคนาดา หลังจากทั้งคู่เกษียณก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเหมือนฮันนีมูนตลอดเวลา หลายครั้งพวกท่านไปประเทศยากจนในแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชียเพื่อเป็นอาสาสมัครให้เอ็นจีโอช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาส ก่อนเปิดเทอมพ่อแม่บอกฉันว่าจะไปทริปยาวเกือบหนึ่งปีที่มองโกเลีย แต่เพราะพวกท่านรู้ว่าฉันเป็นคนติดที่ ไม่ค่อยชอบออกนอกประเทศสักเท่าไหร่จนถูกแซวว่าคงจะตายอยู่บนแผ่นดินแคนาดาในฐานะผู้รักชาติ พวกท่านก็เลยให้ฉันหาที่เรียนใหม่ตามใจหากการเรียนที่วิทยาลัยในโทรอนโตเหมือนเดิมจะทำให้เหงาและคิดถึงพวกท่านมากเกินไป อีกอย่างก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเอาสนุกด้วย ฉันก็เลยหลับตาจิ้มแล้วเจอกับเข้าเมืองนี้ พอค้นหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในเมืองก็เห็นว่าสวยดี สุดท้ายฉันก็มาอยู่ที่นี่...กับพวกนาย” 
“น่าสนุกดีนะ” แคมม์ราวกับทึ่งในวิธีเลือกหาที่เรียนอันแปลกประหลาดของฉัน “แล้วก็กล้าหาญทีเดียว ต่างกับฉันที่มักจะอยู่เฉยๆ ฉันชอบที่จะอยู่กับสิ่งเดิมๆ และบางทีก็ฝันว่าโลกจะไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“งั้นเหรอ...” ฉันคิดว่าแคเมรอนเป็นผู้ชายที่แปลกเหลือเกิน
 “ฉันไม่เคยเจอใครแบบเธอเลย” แคมม์ลากสายตามามองฉันอีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ฉันมันใจว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกลบเกลื่อน
“นายดื่มอะไรอยู่น่ะ? ” ฉันหาเรื่องคุยสำเร็จแล้ว
“ลองไหม? ” แทนคำตอบแคมม์กลับยื่นแก้วในมือเรียวยาวให้ฉัน
“มันคืออะไรล่ะ? “
“กาแฟธรรมดา ไม่ต้องกลัว” เขาคงพูดแบบนั้นเพราะเห็นฉันเกร็ง ทั้งที่ฉันเกร็งเรื่องอื่น หาใช่เรื่องกาแฟสักนิด ฉันมองแก้วกาแฟ รู้สึกว่าแก้วและหลอดนั้นโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้อยู่ในมือของเขา และหลอดนั้น...ฉันกำลังจะได้ใช้ร่วมกับเขา...ราวกับจูบทางอ้อม
ฉันเกร็งเต็มที่เมื่อดูดหลอดนั้น และไม่แปลกที่แคมม์จะนึกว่าฉันกลัวหรือเกลียดกาแฟ
“ชอบไหม? ” เขาถามราวกับลังเล
 ฉันนิ่งไป แคมม์หวาดหวั่นกว่าเดิม แต่เมื่อฉันตอบออกไปเขาก็ยิ้มโล่งออกมา “ฉันไม่เคยกินกาแฟที่ไหนอร่อยแบบนี้เลย”
“ล้อเล่นหรือเปล่า แค่กาแฟคาราเมลธรรมดาๆ”
“กาแฟคาราเมลเหรอ อร่อยจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่ฉันได้กินกาแฟใส่คาราเมล” ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ รู้ตัวทันทีว่าอาจชอบกาแฟชนิดนี้แบบลำเอียงเพียงเพราะมันเป็นกาแฟที่แคมม์เลือก
“งั้นรอที่นี่นะ” แคมม์ลุกเดินไปที่ซุ้มขายกาแฟเล็กจิ๋วหน้าตาน่ารักข้างตึก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกาแฟแก้วใหม่ในมือ แล้วมือสีขาวงดงามก็ยื่นแก้วให้ฉัน “สำหรับเพื่อนใหม่ ยินดีต้อนรับเข้าแก๊งนะ”
ยิ้มของเขาทำให้สายลมเคลื่อนไหวทั้งที่เมื่อครู่นิ่งงัน อย่างเชื่องช้า...ฉันยื่นมือไปรับกาแฟแก้วนั้น “ขอบใจ แคเมรอน”
 แล้วแคมม์มองเลยหลังฉันไป “เซธ เรียนอะไรมา? ”
“เมคาทรอนิคส์” คนที่เพิ่งมาถึงตอบ
“หือ? หน้าอย่างนายเรียนวิศวะ?” ฉันร้องเสียงสูง
“เซธเรียนเก่งนะ” แคมม์โฆษณาเพื่อน “เขาต้องคอยติวคณิตศาสตร์ให้ฉันอยู่เรื่อย เราก็เลยสนิทกันมาก”
“พ่อของฉันเป็นเพื่อนกับพ่อของแคมม์ เราก็เลยสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราเหมือนโตมาด้วยกัน ฉันไปเล่นบ้านแคมม์แทบจะทุกเสาร์” เซธอธิบาย
“สนิท...” ฉันมองแคมม์ที่ยืนเคียงข้างเซธอย่างพิจารณา พวกเขาหล่อเหลาจนหน้าทึ่ง ถึงจะต่างกันแบบสุดขั้วก็ตาม แคมม์ดูหล่อเหลาราวกับภาพวาดที่งดงาม แต่เซธดูเท่ แกร่ง และเนี้ยบราวกับนายแบบระดับโลก ถึงออกจะดูดิบและน่ากลัวอยู่บ้าง นั่นก็เพราะไม่มีใครเคยเห็นเซธยิ้มเลย ริมฝีปากงดงามของเขาเรียบเป็นเส้นตรงเสมอ “พวกนายไม่ใช่แฟนกันใช่ไหม? ”
คำถามของฉันทำให้พวกเขาแทบหงาย แคมม์หัวเราะออกมา แต่เซธทำหน้าเหมือนอมนมบูดเข้าไป เขาตวาดจนฉันสะดุ้ง “มองอะไร! หรืออยากตาย? ”
ฉันหมอบเอามือกุมหัวเหมือนเครื่องบินจะตก แต่เซธกลับไม่ได้ตะคอกฉันอย่างที่เข้าใจ เขากำลังคุ้มกันฉันจากสายตาของนักศึกษาชายสามคนที่มาเดินป้วนเปี้ยนและส่งตาหวานมาต่างหาก
 “หวา เปล่าครับท่าน” พวกเขากลัวจนตัวสั่น
“งั้นก็รีบไสหัวไป!
 “รับทราบครับ” แล้วพวกนั้นก็วิ่งแน่บไป ฉันยิ้ม มั่นใจเต็มร้อยว่าเมื่ออยู่เคียงข้างเซธและท่ามกลางร่างสูงใหญ่ของเพื่อนๆ ในแก๊ง ฉันจะปลอดภัยราวกับไข่ในหิน
แต่ถึงพวกนึกศึกษาชายปอดแหกพวกนั้นจะไปไกลแล้วก็ยังไม่อดตัดพ้อ “แค่มองก็ไม่ได้ ท่านเซธใจร้าย”
“อยากโดนกระทืบใช่ไหม...” เสียงของเซธฟังเลือดเย็น ทำให้พวกนั้นวิ่งเตลิดไปจนไม่เห็นเงา

“นายใจร้ายจังเซธ พวกนั้นก็แค่อยากมองนายกับแคมม์ไม่ใช่หรือไง” ฉันล้อ
“ไม่ใช่” แคมม์บอก “พวกเขามองเธอต่างหาก วิคกี้”
“หา? มองฉัน?” ฉันร้องอย่างไม่เชื่อหู
“อย่านึกว่าเพราะตัวเองสวยเป็นอันขาด เพราะถึงจะหน้าตาน่าเกลียดหรือหน้าเหมือนลิง แต่เป็นผู้หญิงคนเดียวแบบนี้ก็ต้องถูกมองอยู่ดี” เซธว่า
“เซธ นายพูดด้วยอวัยวะส่วนไหน” ฉันทุบเซธแรงๆ
“ทำเป็นพูดไป ยังไงก็ต้องถือว่าวิคกี้สวยสุดในโรงเรียนไม่ใช่หรือไง นายมันก็แค่ปากแข็ง” เคนตันที่เพิ่งมาถึงปรามเซธทันที และเมื่อฉันหันไปก็พบว่าเพื่อนในแก๊งทุกคนมากันครบแล้ว
 พวกเรานั่งๆ นอนๆ คุยเล่นกันในสนามหญ้า บรรยากาศรอบข้างสวยสดใสราวกับภาพวาด พื้นหญ้าหนานุ่มและเย็นเฉียบเมื่อเกลือกกลิ้ง อากาศโปร่งโล่ง ท้องฟ้ากว้างเหนือขึ้นไปอาบสีครามเข้มสะดุดตา ตัดด้วยหมู่เมฆสีขาวราวกับฝูงแกะที่เปล่งสว่างราวกับเรืองแสง ลมพัดเย็นแทรกเข้ามาในเสียงพูดคุยและหัวเราะของเรา และเลาะผ่านไปตามเส้นผมสีดำสนิทของแคเมรอน...
ฉันเผลอมองเขาอีกแล้ว...
   “แสงเงาตรงนี้สวยดีนะ มาถ่ายรูปกันดีกว่า” ฉันลุกวิ่งไปหานักศึกษารุ่นน้องคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนไม้ต่อขาสูงหลายเมตรเพื่อยื่นมือถือให้ เขาคงเตรียมซ้อมเดินขาไม้ในงานพาเหรดชาวนา “ถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ”
แล้วฉันก็วิ่งกลับมาที่กลุ่มเพื่อน
   “หนึ่ง...สอง...สาม ชีส...”
   แชะ
   “โอเคไหมฮะ” คนถ่ายยื่นมือถือห้ฉันดู
   “วะ...ว้าว” รูปในมือถือทำให้ฉันตื่นเต้น “เยี่ยมมากเลย ขอบใจนะ”
   แล้วฉันก็ยิ้มกว้างให้รุ่นน้องที่ถ่ายรูปให้ แต่เขากลังหน้าแดงแล้วค่อยๆ หงายไปข้างหลัง
   โครม! เขาหล่นจากไม้ลงไปนอนหงายอยู่บนหญ้า ทำเอาเพื่อนร่วมแก๊งของฉันหัวเราะกันใหญ่จนคนตกไม้วิ่งหนีแก้เขินแทบไม่ทัน ฉันเอียงหัวงงๆ ก่อนจะก้มลงมองภาพบนสกรีนอีกครั้ง แล้วฉันก็อดยิ้มไม่ได้
   รูปที่ถ่ายออกมาเป็นภาพมุมเงยของพวกเราที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างมีชีวิตชีวา ทว่าทั้งที่เพื่อนทุกคนทำตัวตามสบาย รูปที่ได้กลับดูราวกับรูปถ่ายของกลุ่มนายแบบของมืออาชีพที่เด่นสะดุดตา พวกเขาหน้าตาดีเกินไป มีเสน่ห์เกินไปจนน่าอิจฉา โดดเด่นไปคนละแบบแต่รวมกันแล้วลงตัวอย่างน่าประหลาด เพื่อนทุกคนของฉันหล่อเหลาไร้ที่ติในแบบของตัวเอง
   แคเมรอน ชายที่ดูราวกับใบเมเปิ้ลในฤดูร้อนบนท้องฟ้าสีฟ้าจัด ฟากฟ้านั้นสูงลึกล้ำและแสนห่างไกล
   นิกิต้ากับรอยยิ้มบางเหมือนกับเจ้าชาย ดูงดงามราวกับกิ่งเมเปิ้ลเปลือยเปล่าใต้แสงจันทร์ในคืนเยือกเย็นที่หิมะโปรยปราย
   แซค ชายที่ดูสดใสราวกับใบเมเปิ้ลสีเขียวที่เริงระบำในเสียงหัวเราะของสายลมฤดูร้อน
   เซธ ชายที่ดูหล่อเหลาและโดดเด่นอย่างน่าประหลาดใจ ดูแกร่งและเคร่งขรึมราวกับใบเมเปิ้ลสีแดงหม่นของฤดูใบไม้ร่วง
   และเคนตัน ชายหน้าตาดีไร้ที่ติ เขาดูน่ามองราวกับใบเมเปิ้ลสีเขียวอ่อนในฤดูใบไม้ผลิที่แสนสดใส
 แต่ที่รูปนี้ดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อก็เพราะเพื่อนทุกคนของฉันเกิดมาเพื่อที่จะถ่ายรูปออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกเวลา เพราะฉะนั้นถึงไม่ปรับแต่งอะไรรูปนี้ก็เป็นรูปของกลุ่มผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดอย่างปฏิเสธไม่ได้
   แล้วเสียงของแคมม์ก็ทำให้ฉันต้องเงยขึ้นจากรูปในมือของตัวเอง
เฮ้เพื่อน ฉันต้องไปแล้ว ไว้เจอกัน” อยู่ๆ แคมม์ก็ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกไป
“อ้าว” ฉันออกจะผิดหวัง “แคมม์จะรีบไปไหนเหรอ”
“ไปหาแฟน” เคนตันบอก
“ฟะ...แฟน!? ” ฉันตกใจเหมือนถูกฟ้าผ่า
“ตกใจอะไรล่ะ” เซธถาม
“อะ...เอ้อ...อ่า...เปล่า”
ฟังไม่ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉันเป็นชาวคาเนเดียนที่พูดภาษาอังกฤษ และทุกคนที่นี่ก็เป็นชาวคาเนเดียนที่พูดภาษาอังกฤษ แคเมรอนมีแฟนแล้ว ฉันไดยินชัดเจน
ทุกอย่างจบลงแล้ว จบบริบูรณ์ เกมโอเวอร์ ดิเอนด์ จบแบบไม่มีภาคต่อ
“หัวเราะอะไรเหรอวิคกี้”
จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆๆๆ”

หลังอกหักจากแคมม์ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มฉันก็เดินกลับบ้าน แซคมาส่งฉัน บ้านของเราอยู่ย่านดาวน์ทาวน์ใกล้วิทยาลัยเหมือนกัน อาร์เธอร์เป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบและน่าอยู่ เพราะอย่างนั้นถึงออกจะเป็นเรื่องแปลกและรับไม่ได้ที่จะมีแก๊งอันธพาล และเพราะเหตุผลนั้นเพื่อนๆ ถึงได้จัดเวรมาส่งผู้หญิงคนเดียวอย่างฉันเพื่อความปลอดภัย และถึงฉันจะเกรงใจจนอยากปฏิเสธ แต่ก็ทนเพื่อนๆ คะยั้นคะยอด้วยความหวังดีไม่ได้
เพื่อนๆ ตกลงกันว่าจะเวียนกันมาส่งฉันทุกวันไม่ขาด แซคจะมาส่งบ่อยหน่อยเพราะบ้านอยู่ใกล้ รองลงมาก็คือเคนตันเพราะบ้านของเขากับฉันห่างกันแค่สามบล็อคเท่านั้น ฉันรู้สึกเหมือนเพื่อนๆ ทุกคนทำตัวเป็นองครักษ์ของฉันเลย
พูดถึงเรื่องแคเมรอนฉันคิดว่าตัวเองน่าจะหายอกหักจากเขาได้ง่ายๆ  เพราะฉันเพิ่งแอบชอบเขามาได้ไม่กี่วัน และนิสัยส่วนตัวของฉันเองก็เป็นคนทำใจง่าย ฉันไม่ชอบจมอยู่กับความเศร้าหรือยึดติดกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ฉันดีใจด้วยซ้ำที่รู้ว่าเขามีแฟนตั้งแต่วันแรกๆ ฉันจะได้ตัดใจทัน
จริงอยู่ที่การมีเพื่อนตัวสูงเดินมาเป็นเพื่อนเพื่อกันอันธพาลเป็นเรื่องดี แต่ก็มีบางอย่างที่ฉันไม่ชอบอยู่เหมือนกัน ฉันไม่สนุกเลยกับการตกเป็นเป้าสายตาของผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านเราจะต้องมองแซคจนเหลียวหลังเพราะเขาหล่อแบบไม่เกรงใจใครหน้าไหน แล้วฉันก็ไม่พ้นถูกมองไปด้วยเพราะเดินมาด้วยกัน พูดง่ายๆ ก็คือการเดินข้างผู้ชายหน้าตาดีทำให้ฉันเกร็งเหมือนกำลังเดินอยู่กับดารา
การที่แซคเดินมาส่งฉันอย่างไม่อิดออดแบบนี้ทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนดีมาก เขาไม่แค่มาส่งฉันถึงหน้าบ้าน แต่ยังยืนรอดูให้แน่ใจว่าฉันหากุญแจบ้านเจอและเปิดเข้าบ้านได้ หลังจากนั้นเขาถึงจะค่อยลาไป
“ขอบใจนะ บาย...”






Vampire and I : รักนายแวมไพร์ของฉัน
Daydream
www.mebmarket.com
...ใครจะรู้ล่ะว่าโลกของแวมไพร์เป็นยังไง...?…แวมไพร์ เลือด ความงดงาม ชีวิตอมตะ เรื่องพวกนั้นน่ะเป็นตำนานและคำบอกเล่าเกี่ยวกับแวมไพร์ที่พวกเราได้ยินมานานแล้ว แต่มีฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักแวมไพร์อย่างแท้จริง เพราะเขาอยู่ต่อหน้าฉันนี่ไงล่ะ ชินจิ นักเรียนชายหล่อเหลาผู้เป็นที่หลงใหลของนักเรียนหญิงทั้งมัธยมคนนั้น เขาได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนมัธยมของฉันและกลายเป็นนักเรียนใหม่ในความดูแลของหัวหน้าห้องอย่างฉัน ไม่ว่าฉันจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่เหนืออื่นใด ชินจิหลงรักเลือดของฉัน ทั้งรสชาติ สี กลิ่น อุณหภูมิของมัน และทุกอย่าง ชินจิแวมไพร์ผู้หล่อเหลาราวกับเจ้าชายแห่งความมืดได้เลือกฉัน และเมื่อเขายื่นข้อเสนอที่งดงาม...ข้อเสนอที่จะมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์เคียงข้างเขาตลอดไปให้กับฉัน ฉันจะทำยังไงดีนะ…แล้วชินจิก็ฝังเขี้ยวลงมาที่ต้นคอของฉัน ร่างของฉันกระตุกวูบ ฉันเจ็บ เขากำลังดื่มเลือดของฉัน แต่ครั้งนี้แปลกเหลือเกิน คมเขี้ยวของชินจิมอบความเจ็บยิ่งกว่าทุกครั้งและลึกล้ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ คงเพราะเขากำลังจะเปลี่ยนฉันให้เป็นแวมไพร์ มืดเหลือเกิน ราวกับแสงต่างๆ กำลังดับวูบไป ชินจิเคยบอกว่าโลกที่มนุษย์เห็นนั้นต่างจากจากโลกที่แวมไพร์เห็น มันมืดและหนาวเหน็บกว่าใช่ไหม ?…



Maple Rhapsody เพลงรักใบเมเปิ้ล
Daydream
www.mebmarket.com
คำเตือน!! ฉากแสดงความรักในเรื่องนี้ร้อนแรงกว่าใน Sweet Maple Rhapsody (Original) อาจทำอันตรายแก่เส้นเลือดในจมูกของท่านและทำให้เลือดกำเดาออกได้ ผู้อ่านต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป“สวยจัง” ฉันพึมพำ เหม่อมองกลีบสีน้ำเงินเข้มลึกล้ำที่แสนน่าหลงใหล บางสิ่งในวังวนที่ลึกลงไปในดอกไอริสทำให้ฉันคิดถึงแคเมรอน “สวยเหมือนทุกอย่างที่นี่ งดงามจนน่าประหลาดใจ...” ฉันจ้องมองแคมม์ “และเหมือนนาย...”แคมม์นิ่งมองฉันยาวนาน ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้เกินไปเมื่อฉันเอ่ยขอ “หลับตาสิ...”แล้วเขาหลับตาลงตามคำขอของฉัน ก่อนที่ฉันจะเขย่งเท้าขึ้นจนใบหน้าเกือบจะเคลื่อนสูงขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกันกับเขา ฉันยิ้มบางก่อนจะกระซิบออกไป “แคเมรอน ฉันรักนาย...”แคมม์นิ่งไป ร่างสูงคล้ายหยุดหายใจเมื่อฉันเคลื่อนก้านดอกไอริสสูงขึ้นไป ให้ปลายกลีบนุ่มบางแตะแผ่วลงบนแก้มของเขาราวกับจุมพิตที่น่าหลงใหล...“เมื่อกี้...แทนจูบของฉันนะ...”......เจ้าชายนิทรา...ฉันละสายตาจากร่างที่ราวกับรูปปั้นสีขาวไร้ที่ติในแสงแดดอุ่นของยามบ่าย รีบเดินด้วยปลายเท้าไปที่กระเป๋าและหยิบเกมออกมา แล้วฉันก็รีบเดินกลับไปที่ประตู หยุดนิ่งอีกครั้งเมื่อผ่านแคมม์ ร่างนั้นกำลังขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้าตามจังหวะหายใจลึกยาวที่แสดงว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท เขาหนุนหัวของตัวเองไว้บนแขนข้างหนึ่ง มือข้างซ้ายที่วางราบอยู่บนตัวมีผ้าพันแผลมัดไว้ และผ้าสีขาวนั้นปรากฏเลือดสีแดงซึมออกมาจางๆ เลือดที่ซึมอยู่ไม่ใช่ตำหนิ แต่ทำให้เขาดูแข็งแกร่งและงดงามขึ้นจนยากจะละสายตาไปได้ รู้ตัวอีกทีฉันก็โน้มตัวลงไปใกล้ๆ แคเมรอนแล้ว...ไม่ว่าจะเพราะอะไร รู้สึกราวกับตัวเองคือเจ้าชาย และแคเมรอนคือเจ้าหญิงนิทราแล้วฉันจูบแคเมรอน กดริมฝีปากอย่างแผ่วเบาลงบนริมฝีปากสีแดงเรื่อของเขา ความทรงจำเก่าๆ ที่งดงามราวกับภาพวาดในแสงแดดย้อนกลับมา แล้วเวลาที่เปราะบางนั้นก็ราวกับถูกขึงหยุดเอาไว้



Sweet Maple Rhapsody (Original)
Daydream
www.mebmarket.com
...แล้วมันก็เริ่มขึ้น... ริมฝีปากของนิค...งดงามและอุ่นจัด...เคลื่อนมาทาบทับริมฝีปากของฉัน...ฉันได้ยินเสียงหายใจลึกของเขา...ราวกับจะผนึกสัมผัสที่เขาได้จูบฉันไว้ให้นานแสนนาน หลายวินาทีผ่านไปเขาก็ถอนริมฝีปากออกอย่างเนิบช้าเพื่อที่จะจ้องตาฉันในระยะใกล้ขนาดปลายจมูกแตะกัน เขาไม่ได้แค่บอกรักฉันด้วยบทเพลง แต่ด้วยความเงียบและการรอคอยด้วย เวลานี้นิคกำลังอ่านและค้นลึกลงไปในหัวใจของฉัน ...ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะมั่นใจที่จะเคลื่อนมาสัมผัสกับริมฝีปากของฉันอีกครั้ง...และครั้งนี้อย่างแน่ใจและลังเลน้อยกว่าเดิม นิคจูบฉัน...จูบอย่างทะนุถนอมราวกับจูบของเจ้าชายที่ได้เลือกซินเดอเรลลาเป็นคนรัก ...และราวกับมันเป็นแค่การสัมผัสกันของกลีบดอกไม้...ฉันกำลังจูบกับนิกิต้างั้นเหรอ...? รู้สึกเหมือนมันเป็นแค่ความฝัน...และเสียงนุ่มแผ่วของเขาที่กำลังเอ่ยขอกับฉันก็เป็นเพียงแค่…...ความฝัน...?“ฉันชอบเธอ คบกับฉันนะ”



Vampire and I : ซากุระในสายฝน
Daydream
www.mebmarket.com
ยินดีต้อนรับสู่ความมืดที่แสนงดงามและน่าหลงใหล กับนิยายแฟนตาซีรักแนวดาร์คและโรแมนติกที่จะทำให้คุณหลงใหลแวมไพร์…ตลอดไป......“นานะมองลำคอของไซโตะที่สะท้อนแสงหม่นจากหน้าต่าง...ร่างนั้นที่หล่อเหลาจนกลายเป็นความงดงามกำลังหลับใหล......ได้กลิ่นกายของไซโตะ เธอเคลื่อนใบหน้าใกล้เข้าไป…แต่แล้วเธอชะงัก ข่มตาหลับ ก่อนจะผละจากเขาและลุกกลับไปที่เตียงในความมืดและเงียบหลังจากเธอเดินกลับไป ไซโตะลืมตาขึ้น เมื่อครู่นานะมาที่นี่ เขารู้เพียงเมื่อครู่...เธออยู่ใกล้ๆ เขานี่เอง...” หากคุณชอบความมืด ความงดงาม และความลี้ลับ นิยายเล่มนี้คือนิยายสำหรับท่าน“ไซโตะลากตัวนานะกลับมาที่ห้องแล้ว เขาล็อคประตูทันที“ฉันยังออกล่าไม่เสร็จเลยนะ” เธอบอกอย่างเสียอารมณ์ “เปิดให้ฉันออกไป ฉันไม่ฆ่าใครเหมือนแวมไพร์ใจร้ายตัวอื่นหรอกน่ะ”แต่ไซโตะคว้ามือของนานะที่กำลูกบิดประตูและกำลังจะแก้ล็อคออก ก่อนจะดึงมือนั้น ทำให้ทั้งตัวนานะลอยเข้าไปชนกับร่างของเขา“ไซโตะ ?” ร่างสูงรั้งมือของนานะแน่น อีกมือรั้งท้ายทอยใต้เส้นผมดำยาวเข้าไปที่ลำคอของเขาเอง “ดื่มเลือดฉันสิ”“!!?? นาย...”“ดื่มเลือดฉัน” ...ตึกตัก...นานะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะออกไปจากเดิม ไซโตะอยู่ใกล้เกินไป “ฉันไม่แคร์ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน ที่ฉันต้องการก็คือฉันไม่อยากให้เธอดื่มเลือดใครอีก” นิ้วเรียวยาวของไซโตะรั้งปกเสื้อของตัวเองลง “ดื่มเลือดของฉันคนเดียวเท่านั้น”