protect copy

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Chapter 6 Only You







เธอเท่านั้น ยูกะ
เสียงอ่อนโยนของชินจิยังดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของฉัน และแววตาที่มองฉันอย่างลึกซึ้งในคืนนั้น...
ทำไมล่ะ ?
ทำไมชินจิถึงต้องดื่มเลือดของฉันคนเดียวเท่านั้น ?
แล้วเขาจะหิวบ่อยแค่ไหนกัน ? แล้วถ้าเขาดื่มเลือดของฉันคนเดียวไปเรื่อยๆ แบบนี้ ฉันจะตายไหม ? เรื่องแบบนี้น่ะบ้าสิ้นดี ทำไมโลกนี้ต้องมีแวมไพร์ด้วย !!!! และทำไมคนที่แวมไพร์เลือกดื่มเลือดถึงต้องเป็นฉัน !!!???
หลายวันต่อมา
“ชินจิ นายอายุเท่าไหร่นะ ?” ฉันถามชินจิหลังเลิกเรียน
“หนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดปี แปดเดือน ยี่สิบสองวัน”
“โห จำได้ละเอียดจัง”
“แวมไพร์ไม่เคยลืมวันเวลาในชีวิตที่ยาวนานของตัวเองหรอก”
“แปลกนะ ทั้งๆ ที่ชีวิตมนุษย์สั้นกว่า แต่กลับจำวันเวลาของตัวเองไม่แม่นเท่าแวมไพร์” ฉันบอกบ้าง “บางทีฉันยังลืมวันเกิดตัวเองเลย”
“ความสุขทำให้ลืมไงล่ะ” ชินจิยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นดูคล้ายมีรอยร้าวราวกับแก้วที่ใกล้ถึงวันแตกสลาย
“เอ๋ ?”
“ความสุขทำให้ลืมเวลา เธอเองคงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วสินะ” ชินจิดูเศร้าลงไป แววตาที่หม่นลงลากสูงขึ้นไปมองท้องฟ้า
“แล้วแวมไพร์ล่ะ ที่ไม่ลืมเวลาเพราะไม่มีความสุขงั้นเหรอ ?”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
ฉันมองใบหน้างดงามของชินจิที่นิ่งไป แสงยามเย็นที่เข้ากันดีกับสีดวงตาที่น่าหลงใหลของชินจิกำลังสาดส่องมายังเสี้ยวหน้าของเขา...เสี้ยวหน้าที่งดงามเกินไป...นั่นก็เพราะเขาเป็นแวมไพร์
นายไม่น่าเป็นแวมไพร์เลย ชินจิ
“นายอายุไม่เยอะอย่างที่ฉันคิดนะ” ฉันบอกชินจิยิ้มๆ
“เธอคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่ ?”
“ตอนแรกนึกว่าซักห้าหกร้อยปี”
“นั่นคงจะน่าเบื่อแย่”
“ไหนว่ามีแต่คนร้องขอชีวิตอมตะไงล่ะ ? ฉันนึกว่านายจะอยากมีชีวิตยาวนานขนาดนั้นซะอีก”
ชินจินิ่งไป ราวกับความเปลี่ยวเหงาเคลื่อนเข้ามาโอบกอดเขา “ฉันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนนะ”
                “เหรอ !?
“นานมาแล้วล่ะ”
แล้วชินจิก็เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟัง
“ฉันเกิดที่ฮอกไกโด ที่นั่นน่ะอากาศหนาว ฉันก็เลยป่วยง่าย ฉันเจ็บออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ หมอบอกว่าฉันอาจจะมีชีวิตต่อไปได้ไม่ถึงมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เด็กแล้วที่แสงมืดสลัวของห้องพยาบาลเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันมักจะได้ยินมันคุยกับฉันราวกับเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี และหลายครั้งมันชวนให้ฉันหลับและไม่ต้องตื่นขึ้นมา เพื่อที่ฉันจะได้เดินทางไปกับมัน บางทีมันอาจจะเป็นความฝัน”
ในยุคนั้นมีเด็กที่ตายไปมากมาย บ้างก็จากสงคราม และบ้างก็จากโรคร้าย แต่ชินจิไม่เคยทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
 “แล้วก็ถึงวันหนึ่งที่ฉันรู้ตัวว่าจะตาย และไม่ว่าฉันและพ่อแม่จะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีใครยื้อชีวิตฉันไว้ได้ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นที่พยายามช่วยฉันในขณะที่คนอื่นถอดใจไปแล้ว”
“รุ่นพี่ ?”
“รุ่นพี่คนนั้นเป็นคนที่ฉันนับถือมาก และตอนนี้เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเธอเป็นแวมไพร์”
“หา ? ...หมายความว่า...”
“ใช่ รุ่นพี่ที่ห่วงใยฉันที่สุดได้ยื่นข้อเสนอที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนให้กับฉัน เธอถามฉันว่าอยากหลุดพ้นไปจากความทรมานและความตายไหม ฉันบอกว่าอยาก ไม่ว่ามันจะต้องแลกด้วยอะไร”
“แล้ว...?”
“แล้วเธอก็เปิดเผยตัวเองว่าเป็นแวมไพร์ ในริมฝีปากของเธอฉันเห็นเขี้ยวงอกออกมาเป็นครั้งแรก ฉันทั้งกลัว แต่ก็ทึ่งและรู้สึกอัศจรรย์มากด้วย เธอบอกว่าเพื่อชีวิตอมตะเหมือนกับเธอ ฉันต้องแลกกับชีวิตมนุษย์และแสงแดดที่งดงาม และต่อนี้ไปฉันต้องสาปแช่งพระผู้เป็นเจ้า อยู่ในคำสาปแช่งของทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ และดื่มเลือดไปตลอดกาล”
ชินจิหยุดพูด น้ำเสียงตอนที่เขาพูดว่าต้องดื่มเลือดไปตลอดกาลนั้นเศร้าทีเดียว แต่แล้วเขาก็ถอนใจแล้วยิ้มออกมา “แต่ฉันจะไม่ต้องตาย และไม่ต้องเจ็บปวดอีกแล้ว”
ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่งดงาม แต่ก็เปลี่ยวเหงาราวกับแก้วที่ปริร้าวเลยนะ
“แล้วฉันก็ยื่นมือให้รุ่นพี่” ชินจิหลับตาและเบือนหน้า
“วันนั้นรุ่นพี่ถามฉันถึงสามครั้งว่าแน่ใจหรือเปล่าว่าต้องการแบบนี้ ฉันตอบว่ามั่นใจ ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ฉันไม่สามารถพูดอะไรกับชินจิได้เลย
 ชินจิ ตอนที่นายรู้สึกว่ากำลังจะต้องตาย และไม่ว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ นายคงเศร้าและหวาดกลัวมากสินะ ดูชินจิจะดีใจที่รอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ แต่ฉันกลับเต็มไปด้วยน้ำตา
“ยูกะ ?”
“ชินจิ ฉัน...”
แล้วชินจิก็ได้แต่นิ่งเมื่อฉันฟุบใบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง และนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น
เพราะฉันรู้ความจริงแล้ว ใจจริงของชินจิไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์
เขาไม่เคยอยากเป็นแวมไพร์เลย


“ยูกะ วันนี้ฉันเลี้ยงข้างเธอนะ” ชินจิบอกฉันเมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง
วันนี้เขาเป็นดาวเด่นของชั้น เพราะไม่ว่าจะถามอะไรเขาก็ตอบได้หมด ไม่ว่าจะวิชาภาษา ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์ แต่ที่เป็นแบบนั้นฉันแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะเขาอายุเป็นร้อยปีและเข้าโรงเรียนมาหลายรอบหรอก แต่เพราะเขาเป็นคนหัวดีก่อนที่จะกลายเป็นแวมไพร์ต่างหาก
                ชินจิตอนที่ยังเป็นมนุษย์เป็นคนแบบไหนนะ ? แล้วยุคสมัยห่างไกลที่ผ่านล่วงเลยมาแล้วนั้นล่ะ ? ดีจังนะที่เคยเห็นเวลาแบบนั้นมาแล้วและยังไม่ตาย
                ...ไม่มีวันตาย...
                “นายจะเลี้ยงข้าวฉันเหรอ ? ทำไมล่ะ ?”
                “ก็ฉันเอาเปรียบดื่มเลือดเธอมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยอยากตอบแทนบ้าง”
                “ไม่อา ไม่ไป” ฉันส่ายหน้า มือกำสมุดแน่นราวกับมันเป็นโล่ที่จะช่วยฉันได้ แต่คงจะได้หรอกนะ เฮ้อ
                “ทำไม ? ไม่ไว้ใจ ?” ชินจิถาม แล้วเขาก็ยิ้มงดงาม “กลัวฉันกัดอีกเหรอ ?”
                ฉันพยักหน้า และนั่นก็ทำให้เขาหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะยื่นใบหน้าคมคายมาใกล้ฉัน “ครั้งนี้ไม่ ฉันสัญญา”
                ถึงจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ฉันก็ยอมให้ชินจิพามาเลี้ยงอาหาร และมันเป็นอาหารสุดหรูที่ฉันไม่เคยกินมาก่อนเลย เพราะที่นี่คือภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสที่บริกรแต่งชุดภูมิฐานราวกับเตรียมตัวเสิร์ฟลูกค้าระดับราชนิกูล และนั่นก็ทำให้ฉันเกร็ง
                “อื้อหือ อาหารฝรั่งเศสนี่อร่อยดีนะ” ฉันชม “นายรู้ได้ยังไงน่ะว่ามันจะอร่อยแบบนี้”
                “ก็บอกแล้วไงว่าฉันลองกินมาแล้วทุกอย่าง”
                “แล้วมีอะไรทดแทนเลือดได้มั่งมั้ย โอเค อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายชอบไวน์แดง แต่ยังมีอย่างอื่นอีกไหมที่ดับความหิวของนายได้ ?”
                “ยูกะ เธอนี่ตลกจังนะ ทำไมชอบถามแวมไพร์เรื่องพวกนั้น แวมไพร์ไม่สนใจรสชาติอาหารมนุษย์หรอกน่า”
                “แต่ฉันยังไม่สิ้นหวังหรอกนะ”
                “?”
                “ชินจิ ถึงนายจะเป็น...เอ่อ..เป็นแบบนี้ แต่นายก็เป็นเพื่อนฉันนะ และฉันก็ยังไม่ลืมว่าฉันจะต้องเป็นหัวหน้าห้องที่ดีที่ต้องดูแลทุกคนในห้องเรียนของฉันให้มีความสุขน่ะ”
                “ยูกะนี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังใจดีอีกนะ”
                ดวงตาคมสวยของชินจิมองมาที่ฉัน และเท่านั้นก็พอที่จะทำให้ฉันร้อนไปทั้งหน้า แวมไพร์ปากหวานอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ ก็อาจใช่ เพราะนั่นเป็นวิธีง่ายๆ ที่พวกแวมไพร์จะได้เลือดมาโดยไม่ต้องออกแรง เพราะผู้หญิงร้อยทั้งร้อยต้องแพ้หน้าตาที่หล่อเหลาของพวกเขาและคำพูดที่อ่อนหวานไงล่ะ
                น้ำตาลเคลือบยาพิษชัดๆ !
                “ในโลกนี้น่ะมีขนมและเครื่องดื่มใหม่ๆ ออกมาให้ลิ้นมนุษย์เราลิ้มรสทุกวัน และฉันเชื่อว่าต้องมีอย่างหนึ่งที่ทำให้นายประทับใจได้”
                “ไม่เคยยอมแพ้เลยสินะ ทำไมต้องพยายามทำเพื่อฉันด้วยล่ะ ?”
                “เอ่อ...” ให้ตายสิ พอถูกถามและจ้องหน้าตรงๆ แบบนั้นมันก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าอีกครั้ง แวมไพร์นี่นะ !!
                “ไปกันเหอะน่า”
                แล้วฉันก็ให้ชินจิลิ้มรสของหวานและเครื่องดื่มหลากหลาย ทั้งช็อคโก
แล็ตแสนสวยหลากรส กาแฟแพงๆ ที่ต้องใช้ค่าขนมทั้งอาทิตย์เพื่อซื้อให้ได้ซักแก้ว มอคค่า ลาเต้ ไอศกรีม และดูเหมือนชินจิจะติดใจดาร์คช็อคโกแล็ตเป็นพิเศษนะ
                แล้วฉันก็พาชินจิมาดื่มน้ำมะเขือเทศ มันดูเหมือนเลือดเหลือเกิน ชินจิมองมันอย่างหลงใหล แต่เมื่อยกมันขึ้นดมและกลิ่นแตะจมูกเท่านั้น เขาก็เปลี่ยนใจ และหันมาจ้องหน้าฉันแทน
                “อย่าคิดอะไรไม่เข้าท่านะ” ฉันรีบห้าม มือปิดคอตัวเองไว้อย่างรัดกุม “สัญญาแล้วนะว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรฉัน”
                “ฉันจำได้หรอกน่า” ชินจิยิ้มบางให้ฉันแล้วนิ่งไป ดวงตางดงามของเขากำลังจ้องมองแก้วมิลค์โฟล๊ตรสสตรอเบอร์รี่สีชมพูสวยของฉัน
                “แค่ฉันเห็นสีชมพูยังนึกถึงเลือดเลย”
                “อย่านะ !!” ฉันห้ามเด็ดขาด ! หนำซ้ำต้องรีบดื่มมิลค์โฟล๊ตให้หมดแก้วเพื่อไม่ให้เขาคิดเกินเลย แค่สีชมพูน่ารักของมิลค์โฟล๊ตก็ปลุกความกระหายเลือดของแวมไพร์ได้แล้วงั้นเหรอ ? มนุษย์อย่างเราคงต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าแล้วล่ะ !
                “ฉันคงหิวมากจริงๆ” ชินจิมองนาฬิกาที่ข้อมือของฉัน “เลยเวลาอาหารมาแล้ว”
                หงึก...ก... ฉันตัวสั่นเมื่อเขามองมา และชินจิก็ล่วงรู้ “ที่สำคัญ ไม่มีอะไรทดแทนเลือดสีแดงแสนสวยของยูกะได้หรอกนะ”
                ...โอย..
ให้ตาย !
               

                และถึงชินจิจะเลี้ยงอาหารฉันมื้อใหญ่ และยังใจดีไม่ดื่มเลือดฉันหนึ่งวัน แต่วันนี้ชินจิก็หิวกระหายสมกับที่อดอาหารมาหนึ่งวันเต็มๆ
ทั้งวันที่โรงเรียนเขาดูเหนื่อยล้า เขาตามใจฉันด้วยการกินอาหารของมนุษย์ตอนเที่ยง แต่เขาก็ไม่ได้ดูสดชื่นขึ้นเลย เขาดูซูบลงเล็กน้อย ต่างจากเวลาที่ได้ดื่มเลือดของฉัน เพราะหลังจากดื่มแล้วเขาจะดูสดใสราวกับแก้วคริสตัลงดงามที่เปล่งประกาย และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าฉันหลงใหลชินจิที่สุด
                ...ชินจิดูหล่อเหลาจนถึงกับเรียกได้ว่างดงามหลังจากที่ได้ดื่มเลือดของฉัน...และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเย็นที่แดดสายสุดท้ายกำลังจะล่วงลับฟ้านั้น ความสง่างามของชินจิก็ขึ้นถึงจุดสูงสุด...เพราะนั่นคือเวลาออกล่าของแวมไพร์ เจ้าชายแห่งรัตติกาลยังไงล่ะ
                แต่ฉันก็ยังกลัว และไม่มีวันคุ้นกับการเป็นอาหารของแวมไพร์ พักหลังมานี้ชินจิกับฉันอาจจะดูสนิทกัน และนั่นก็ทำให้บางทีเขาแกล้งฉัน
                แล้วนี่เขาก็ทำให้ฉันกลัวอีกแล้ว และเวลาที่ฉันกลัวชินจิที่สุดก็คือเวลาเย็นไงล่ะ
                “ยูกะ มานี่สิ”
                “หา !!??” ฉันสะดุ้งสุดตัว “ไม่ !!
                “ไหนเธอว่าจะเป็นเพื่อนและหัวหน้าห้องที่ดีไง ฉันหิวแล้วนะ เมื่อคืนอุตส่าห์ไว้ชีวิต”
                “ไว้ชีวิตงั้นเหรอ ?” เขาใช้คำได้รุนแรงเกินไปนะ จริงอยู่แวมไพร์อย่างชินจิไม่ได้ดื่มเลือดเพื่อเอาชีวิต แต่ก็นั่นล่ะ เขาก็รู้ว่าฉันกลัวเขาแค่ไหน “พูดแบบนั้นไม่ได้ทำให้นายฟังดูใจดีขึ้นซักนิด”
                “แล้วจะต้องให้พูดยังไงเธอถึงจะยอมให้ฉันดื่มเลือดง่ายๆ ล่ะ”
                “ก็...”
                “ว่ายังไง” มือของชินจิจับอยู่ที่คางของฉันแล้ว ฉันนึกถึงหนังสือน่ากลัวเกี่ยวกับแวมไพร์วันนั้นที่ห้องสมุด เลือด...ความเจ็บปวด...ความตาย
                แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุด !
                ฉันก้าวถอยหลังจนไม่มีที่จะถอยอีกต่อไป ทางเดินหลังโรงเรียนเลิกนั้นเงียบราวกับตึกร้าง มีเพียงแสงหม่นของดวงตะวันสีแดงฉานเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา และเมื่อมันสาดต้องผนังของตึกเรียน ก็ได้เปลี่ยนอาคารนั้นให้กลายเป็นดินแดนแห่งสนธยาที่แสนลี้ลับ
เงาสะท้อนจากดวงตาของชินจิทำให้ฉันหวาดหวั่น
                “ยังกลัวฉันอยู่อีกเหรอ จนป่านนี้แล้ว” ชินจิใช้มือรั้งใบหน้าของฉันให้หันไปด้านข้างเพื่อที่จะให้ลำคอของฉันเบนมาด้านหน้า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วงดงามจนน่ากลัวเขี่ยเส้นผมของฉันเพื่อให้หลีกพ้นไปจากต้นคอ
                แวมไพร์ พลังอันลี้ลับน่าประหลาดที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นกำลังอยู่ต่อหน้าฉัน
ตุบ สมุดของฉันตกลงสู่พื้น เมื่อชินจิจับมือของฉันไว้ทั้งสองข้างและยึดมันไว้กับผนังข้างกายของฉัน หลังฝ่ามือของฉันสัมผัสกับผนังแข็งกระด้างเมื่อชินจิกดมือของฉันแรงขึ้น เพื่อที่ร่างชองเขาจะเคลื่อนชิดเข้ามา และฝังคมเขี้ยวคมกริบเพื่อลิ้มรสเลือดของฉัน
ชินจิตรึงร่างของฉันไว้ยาวนาน
                “เลือดหวานเหมือนเดิม สมเป็นยูกะ” เขาหัวเราะแผ่ว
                แต่ฉันเกือบจะหมดสติไปแล้วเมื่อเขาถอนริมฝีปากออกไป
                “ใจเสาะเป็นบ้าเลย” ฉันได้ยินเขาสบถเสียงแผ่วก่อนที่สติสุดท้ายของตัวเองจะวูบดับไป ฉันรู้ว่าชินจิจะประคองร่างฉันไว้ เพราะฉันไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว ฉันถูกดื่มเลือดมากเกินไป และนั่นก็เพราะเขาใจดีไม่ดื่มเลือดฉันเมื่อวาน
                เหอะ ใจดีงั้นเหรอ ? ยังไงซะแวมไพร์ก็คือแวมไพร์นั่นล่ะ แวมไพร์เป็นนักล่าที่เข้มแข็ง และมนุษย์เป็นเหยื่อที่อ่อนแอ
บางทีถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันอาจจะตายหรือเปล่านะ...?
                ชินจิดื่มเลือดเสร็จแล้ว เขาละริมฝีปากจากต้นคอของฉัน แล้วปลายนิ้วหัวแม่มือของชินจิก็สัมผัสแผ่วกับริมฝีปากของฉัน “ขอบใจนะ ยูกะ”
แล้วเขาพูดชิดใบหูของฉัน “แล้วก็อีกครั้ง...ขอโทษนะ”
                ทว่ามีแต่เพียงความมืด ดวงตาของฉันปิดลงแล้ว พร้อมกับร่างที่ทิ้งวูบลงในอ้อมแขนของชินจิอย่างไร้เรี่ยวแรง
 “เธอเป็นแบบนี้อาจจะเพราะฉันดื่มเลือดของเธอมากเกินไปก็ได้ ช่วยไม่ได้ ก็มันอร่อยจนห้ามใจไม่ไหว”
                “...”
                “ฉันเสพติดเลือดของยูกะซะแล้ว”
               

 อัพเดทอาทิตย์ละครั้งค่ะ :)