‘เธอเท่านั้น ยูกะ’
เสียงอ่อนโยนของชินจิยังดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของฉัน
และแววตาที่มองฉันอย่างลึกซึ้งในคืนนั้น...
ทำไมล่ะ ?
ทำไมชินจิถึงต้องดื่มเลือดของฉันคนเดียวเท่านั้น
?
แล้วเขาจะหิวบ่อยแค่ไหนกัน ? แล้วถ้าเขาดื่มเลือดของฉันคนเดียวไปเรื่อยๆ
แบบนี้ ฉันจะตายไหม ? เรื่องแบบนี้น่ะบ้าสิ้นดี ทำไมโลกนี้ต้องมีแวมไพร์ด้วย !!!! และทำไมคนที่แวมไพร์เลือกดื่มเลือดถึงต้องเป็นฉัน
!!!???
หลายวันต่อมา
“ชินจิ นายอายุเท่าไหร่นะ ?” ฉันถามชินจิหลังเลิกเรียน
“หนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดปี แปดเดือน ยี่สิบสองวัน”
“โห จำได้ละเอียดจัง”
“แวมไพร์ไม่เคยลืมวันเวลาในชีวิตที่ยาวนานของตัวเองหรอก”
“แปลกนะ ทั้งๆ ที่ชีวิตมนุษย์สั้นกว่า แต่กลับจำวันเวลาของตัวเองไม่แม่นเท่าแวมไพร์”
ฉันบอกบ้าง “บางทีฉันยังลืมวันเกิดตัวเองเลย”
“ความสุขทำให้ลืมไงล่ะ” ชินจิยิ้ม
ทว่ารอยยิ้มนั้นดูคล้ายมีรอยร้าวราวกับแก้วที่ใกล้ถึงวันแตกสลาย
“เอ๋ ?”
“ความสุขทำให้ลืมเวลา
เธอเองคงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วสินะ” ชินจิดูเศร้าลงไป
แววตาที่หม่นลงลากสูงขึ้นไปมองท้องฟ้า
“แล้วแวมไพร์ล่ะ ที่ไม่ลืมเวลาเพราะไม่มีความสุขงั้นเหรอ
?”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
ฉันมองใบหน้างดงามของชินจิที่นิ่งไป แสงยามเย็นที่เข้ากันดีกับสีดวงตาที่น่าหลงใหลของชินจิกำลังสาดส่องมายังเสี้ยวหน้าของเขา...เสี้ยวหน้าที่งดงามเกินไป...นั่นก็เพราะเขาเป็นแวมไพร์
นายไม่น่าเป็นแวมไพร์เลย ชินจิ
“นายอายุไม่เยอะอย่างที่ฉันคิดนะ”
ฉันบอกชินจิยิ้มๆ
“เธอคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่ ?”
“ตอนแรกนึกว่าซักห้าหกร้อยปี”
“นั่นคงจะน่าเบื่อแย่”
“ไหนว่ามีแต่คนร้องขอชีวิตอมตะไงล่ะ ?
ฉันนึกว่านายจะอยากมีชีวิตยาวนานขนาดนั้นซะอีก”
ชินจินิ่งไป ราวกับความเปลี่ยวเหงาเคลื่อนเข้ามาโอบกอดเขา
“ฉันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนนะ”
“เหรอ
!?”
“นานมาแล้วล่ะ”
แล้วชินจิก็เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟัง
“ฉันเกิดที่ฮอกไกโด ที่นั่นน่ะอากาศหนาว
ฉันก็เลยป่วยง่าย ฉันเจ็บออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ
หมอบอกว่าฉันอาจจะมีชีวิตต่อไปได้ไม่ถึงมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เด็กแล้วที่แสงมืดสลัวของห้องพยาบาลเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันมักจะได้ยินมันคุยกับฉันราวกับเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี
และหลายครั้งมันชวนให้ฉันหลับและไม่ต้องตื่นขึ้นมา เพื่อที่ฉันจะได้เดินทางไปกับมัน
บางทีมันอาจจะเป็นความฝัน”
ในยุคนั้นมีเด็กที่ตายไปมากมาย บ้างก็จากสงคราม
และบ้างก็จากโรคร้าย แต่ชินจิไม่เคยทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
“แล้วก็ถึงวันหนึ่งที่ฉันรู้ตัวว่าจะตาย
และไม่ว่าฉันและพ่อแม่จะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีใครยื้อชีวิตฉันไว้ได้ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นที่พยายามช่วยฉันในขณะที่คนอื่นถอดใจไปแล้ว”
“รุ่นพี่ ?”
“รุ่นพี่คนนั้นเป็นคนที่ฉันนับถือมาก
และตอนนี้เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเธอเป็นแวมไพร์”
“หา ? ...หมายความว่า...”
“ใช่ รุ่นพี่ที่ห่วงใยฉันที่สุดได้ยื่นข้อเสนอที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนให้กับฉัน
เธอถามฉันว่าอยากหลุดพ้นไปจากความทรมานและความตายไหม ฉันบอกว่าอยาก
ไม่ว่ามันจะต้องแลกด้วยอะไร”
“แล้ว...?”
“แล้วเธอก็เปิดเผยตัวเองว่าเป็นแวมไพร์
ในริมฝีปากของเธอฉันเห็นเขี้ยวงอกออกมาเป็นครั้งแรก ฉันทั้งกลัว
แต่ก็ทึ่งและรู้สึกอัศจรรย์มากด้วย เธอบอกว่าเพื่อชีวิตอมตะเหมือนกับเธอ
ฉันต้องแลกกับชีวิตมนุษย์และแสงแดดที่งดงาม และต่อนี้ไปฉันต้องสาปแช่งพระผู้เป็นเจ้า
อยู่ในคำสาปแช่งของทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ และดื่มเลือดไปตลอดกาล”
ชินจิหยุดพูด
น้ำเสียงตอนที่เขาพูดว่าต้องดื่มเลือดไปตลอดกาลนั้นเศร้าทีเดียว แต่แล้วเขาก็ถอนใจแล้วยิ้มออกมา
“แต่ฉันจะไม่ต้องตาย และไม่ต้องเจ็บปวดอีกแล้ว”
ถึงจะเป็นรอยยิ้มที่งดงาม
แต่ก็เปลี่ยวเหงาราวกับแก้วที่ปริร้าวเลยนะ
“แล้วฉันก็ยื่นมือให้รุ่นพี่”
ชินจิหลับตาและเบือนหน้า
“วันนั้นรุ่นพี่ถามฉันถึงสามครั้งว่าแน่ใจหรือเปล่าว่าต้องการแบบนี้
ฉันตอบว่ามั่นใจ ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ฉันไม่สามารถพูดอะไรกับชินจิได้เลย
ชินจิ
ตอนที่นายรู้สึกว่ากำลังจะต้องตาย
และไม่ว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ นายคงเศร้าและหวาดกลัวมากสินะ
ดูชินจิจะดีใจที่รอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ แต่ฉันกลับเต็มไปด้วยน้ำตา
“ยูกะ ?”
“ชินจิ ฉัน...”
แล้วชินจิก็ได้แต่นิ่งเมื่อฉันฟุบใบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง
และนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น
เพราะฉันรู้ความจริงแล้ว
ใจจริงของชินจิไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์
เขาไม่เคยอยากเป็นแวมไพร์เลย
“ยูกะ วันนี้ฉันเลี้ยงข้างเธอนะ”
ชินจิบอกฉันเมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง
วันนี้เขาเป็นดาวเด่นของชั้น
เพราะไม่ว่าจะถามอะไรเขาก็ตอบได้หมด ไม่ว่าจะวิชาภาษา ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์ แต่ที่เป็นแบบนั้นฉันแน่ใจว่าไม่ใช่เพราะเขาอายุเป็นร้อยปีและเข้าโรงเรียนมาหลายรอบหรอก
แต่เพราะเขาเป็นคนหัวดีก่อนที่จะกลายเป็นแวมไพร์ต่างหาก
ชินจิตอนที่ยังเป็นมนุษย์เป็นคนแบบไหนนะ
? แล้วยุคสมัยห่างไกลที่ผ่านล่วงเลยมาแล้วนั้นล่ะ ? ดีจังนะที่เคยเห็นเวลาแบบนั้นมาแล้วและยังไม่ตาย
...ไม่มีวันตาย...
“นายจะเลี้ยงข้าวฉันเหรอ
? ทำไมล่ะ ?”
“ก็ฉันเอาเปรียบดื่มเลือดเธอมาหลายครั้งแล้ว
ก็เลยอยากตอบแทนบ้าง”
“ไม่อา
ไม่ไป” ฉันส่ายหน้า มือกำสมุดแน่นราวกับมันเป็นโล่ที่จะช่วยฉันได้ แต่คงจะได้หรอกนะ
เฮ้อ
“ทำไม
? ไม่ไว้ใจ ?” ชินจิถาม แล้วเขาก็ยิ้มงดงาม “กลัวฉันกัดอีกเหรอ ?”
ฉันพยักหน้า
และนั่นก็ทำให้เขาหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะยื่นใบหน้าคมคายมาใกล้ฉัน “ครั้งนี้ไม่
ฉันสัญญา”
ถึงจะกล้าๆ
กลัวๆ แต่ฉันก็ยอมให้ชินจิพามาเลี้ยงอาหาร
และมันเป็นอาหารสุดหรูที่ฉันไม่เคยกินมาก่อนเลย
เพราะที่นี่คือภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสที่บริกรแต่งชุดภูมิฐานราวกับเตรียมตัวเสิร์ฟลูกค้าระดับราชนิกูล
และนั่นก็ทำให้ฉันเกร็ง
“อื้อหือ
อาหารฝรั่งเศสนี่อร่อยดีนะ” ฉันชม “นายรู้ได้ยังไงน่ะว่ามันจะอร่อยแบบนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันลองกินมาแล้วทุกอย่าง”
“แล้วมีอะไรทดแทนเลือดได้มั่งมั้ย
โอเค อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายชอบไวน์แดง
แต่ยังมีอย่างอื่นอีกไหมที่ดับความหิวของนายได้ ?”
“ยูกะ
เธอนี่ตลกจังนะ ทำไมชอบถามแวมไพร์เรื่องพวกนั้น
แวมไพร์ไม่สนใจรสชาติอาหารมนุษย์หรอกน่า”
“แต่ฉันยังไม่สิ้นหวังหรอกนะ”
“?”
“ชินจิ
ถึงนายจะเป็น...เอ่อ..เป็นแบบนี้ แต่นายก็เป็นเพื่อนฉันนะ
และฉันก็ยังไม่ลืมว่าฉันจะต้องเป็นหัวหน้าห้องที่ดีที่ต้องดูแลทุกคนในห้องเรียนของฉันให้มีความสุขน่ะ”
“ยูกะนี่นอกจากจะน่ารักแล้วยังใจดีอีกนะ”
ดวงตาคมสวยของชินจิมองมาที่ฉัน
และเท่านั้นก็พอที่จะทำให้ฉันร้อนไปทั้งหน้า แวมไพร์ปากหวานอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ
ก็อาจใช่ เพราะนั่นเป็นวิธีง่ายๆ ที่พวกแวมไพร์จะได้เลือดมาโดยไม่ต้องออกแรง
เพราะผู้หญิงร้อยทั้งร้อยต้องแพ้หน้าตาที่หล่อเหลาของพวกเขาและคำพูดที่อ่อนหวานไงล่ะ
น้ำตาลเคลือบยาพิษชัดๆ
!
“ในโลกนี้น่ะมีขนมและเครื่องดื่มใหม่ๆ ออกมาให้ลิ้นมนุษย์เราลิ้มรสทุกวัน
และฉันเชื่อว่าต้องมีอย่างหนึ่งที่ทำให้นายประทับใจได้”
“ไม่เคยยอมแพ้เลยสินะ
ทำไมต้องพยายามทำเพื่อฉันด้วยล่ะ ?”
“เอ่อ...”
ให้ตายสิ พอถูกถามและจ้องหน้าตรงๆ แบบนั้นมันก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนๆ
ที่หน้าอีกครั้ง แวมไพร์นี่นะ !!
“ไปกันเหอะน่า”
แล้วฉันก็ให้ชินจิลิ้มรสของหวานและเครื่องดื่มหลากหลาย
ทั้งช็อคโก
แล็ตแสนสวยหลากรส กาแฟแพงๆ
ที่ต้องใช้ค่าขนมทั้งอาทิตย์เพื่อซื้อให้ได้ซักแก้ว มอคค่า ลาเต้ ไอศกรีม
และดูเหมือนชินจิจะติดใจดาร์คช็อคโกแล็ตเป็นพิเศษนะ
แล้วฉันก็พาชินจิมาดื่มน้ำมะเขือเทศ
มันดูเหมือนเลือดเหลือเกิน ชินจิมองมันอย่างหลงใหล
แต่เมื่อยกมันขึ้นดมและกลิ่นแตะจมูกเท่านั้น เขาก็เปลี่ยนใจ
และหันมาจ้องหน้าฉันแทน
“อย่าคิดอะไรไม่เข้าท่านะ”
ฉันรีบห้าม มือปิดคอตัวเองไว้อย่างรัดกุม “สัญญาแล้วนะว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรฉัน”
“ฉันจำได้หรอกน่า”
ชินจิยิ้มบางให้ฉันแล้วนิ่งไป
ดวงตางดงามของเขากำลังจ้องมองแก้วมิลค์โฟล๊ตรสสตรอเบอร์รี่สีชมพูสวยของฉัน
“แค่ฉันเห็นสีชมพูยังนึกถึงเลือดเลย”
“อย่านะ
!!” ฉันห้ามเด็ดขาด !
หนำซ้ำต้องรีบดื่มมิลค์โฟล๊ตให้หมดแก้วเพื่อไม่ให้เขาคิดเกินเลย
แค่สีชมพูน่ารักของมิลค์โฟล๊ตก็ปลุกความกระหายเลือดของแวมไพร์ได้แล้วงั้นเหรอ ?
มนุษย์อย่างเราคงต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าแล้วล่ะ !
“ฉันคงหิวมากจริงๆ” ชินจิมองนาฬิกาที่ข้อมือของฉัน “เลยเวลาอาหารมาแล้ว”
หงึก...ก...
ฉันตัวสั่นเมื่อเขามองมา และชินจิก็ล่วงรู้ “ที่สำคัญ ไม่มีอะไรทดแทนเลือดสีแดงแสนสวยของยูกะได้หรอกนะ”
...โอย..
ให้ตาย !
และถึงชินจิจะเลี้ยงอาหารฉันมื้อใหญ่ และยังใจดีไม่ดื่มเลือดฉันหนึ่งวัน
แต่วันนี้ชินจิก็หิวกระหายสมกับที่อดอาหารมาหนึ่งวันเต็มๆ
ทั้งวันที่โรงเรียนเขาดูเหนื่อยล้า
เขาตามใจฉันด้วยการกินอาหารของมนุษย์ตอนเที่ยง แต่เขาก็ไม่ได้ดูสดชื่นขึ้นเลย
เขาดูซูบลงเล็กน้อย ต่างจากเวลาที่ได้ดื่มเลือดของฉัน
เพราะหลังจากดื่มแล้วเขาจะดูสดใสราวกับแก้วคริสตัลงดงามที่เปล่งประกาย
และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าฉันหลงใหลชินจิที่สุด
...ชินจิดูหล่อเหลาจนถึงกับเรียกได้ว่างดงามหลังจากที่ได้ดื่มเลือดของฉัน...และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเย็นที่แดดสายสุดท้ายกำลังจะล่วงลับฟ้านั้น
ความสง่างามของชินจิก็ขึ้นถึงจุดสูงสุด...เพราะนั่นคือเวลาออกล่าของแวมไพร์
เจ้าชายแห่งรัตติกาลยังไงล่ะ
แต่ฉันก็ยังกลัว
และไม่มีวันคุ้นกับการเป็นอาหารของแวมไพร์ พักหลังมานี้ชินจิกับฉันอาจจะดูสนิทกัน
และนั่นก็ทำให้บางทีเขาแกล้งฉัน
แล้วนี่เขาก็ทำให้ฉันกลัวอีกแล้ว
และเวลาที่ฉันกลัวชินจิที่สุดก็คือเวลาเย็นไงล่ะ
“ยูกะ
มานี่สิ”
“หา
!!??”
ฉันสะดุ้งสุดตัว “ไม่ !!”
“ไหนเธอว่าจะเป็นเพื่อนและหัวหน้าห้องที่ดีไง ฉันหิวแล้วนะ
เมื่อคืนอุตส่าห์ไว้ชีวิต”
“ไว้ชีวิตงั้นเหรอ ?” เขาใช้คำได้รุนแรงเกินไปนะ
จริงอยู่แวมไพร์อย่างชินจิไม่ได้ดื่มเลือดเพื่อเอาชีวิต แต่ก็นั่นล่ะ
เขาก็รู้ว่าฉันกลัวเขาแค่ไหน “พูดแบบนั้นไม่ได้ทำให้นายฟังดูใจดีขึ้นซักนิด”
“แล้วจะต้องให้พูดยังไงเธอถึงจะยอมให้ฉันดื่มเลือดง่ายๆ
ล่ะ”
“ก็...”
“ว่ายังไง”
มือของชินจิจับอยู่ที่คางของฉันแล้ว
ฉันนึกถึงหนังสือน่ากลัวเกี่ยวกับแวมไพร์วันนั้นที่ห้องสมุด เลือด...ความเจ็บปวด...ความตาย
แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุด
!
ฉันก้าวถอยหลังจนไม่มีที่จะถอยอีกต่อไป
ทางเดินหลังโรงเรียนเลิกนั้นเงียบราวกับตึกร้าง มีเพียงแสงหม่นของดวงตะวันสีแดงฉานเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา
และเมื่อมันสาดต้องผนังของตึกเรียน ก็ได้เปลี่ยนอาคารนั้นให้กลายเป็นดินแดนแห่งสนธยาที่แสนลี้ลับ
เงาสะท้อนจากดวงตาของชินจิทำให้ฉันหวาดหวั่น
“ยังกลัวฉันอยู่อีกเหรอ
จนป่านนี้แล้ว” ชินจิใช้มือรั้งใบหน้าของฉันให้หันไปด้านข้างเพื่อที่จะให้ลำคอของฉันเบนมาด้านหน้า
ก่อนจะใช้ปลายนิ้วงดงามจนน่ากลัวเขี่ยเส้นผมของฉันเพื่อให้หลีกพ้นไปจากต้นคอ
แวมไพร์
พลังอันลี้ลับน่าประหลาดที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นกำลังอยู่ต่อหน้าฉัน
ตุบ สมุดของฉันตกลงสู่พื้น เมื่อชินจิจับมือของฉันไว้ทั้งสองข้างและยึดมันไว้กับผนังข้างกายของฉัน
หลังฝ่ามือของฉันสัมผัสกับผนังแข็งกระด้างเมื่อชินจิกดมือของฉันแรงขึ้น เพื่อที่ร่างชองเขาจะเคลื่อนชิดเข้ามา
และฝังคมเขี้ยวคมกริบเพื่อลิ้มรสเลือดของฉัน
ชินจิตรึงร่างของฉันไว้ยาวนาน
“เลือดหวานเหมือนเดิม สมเป็นยูกะ” เขาหัวเราะแผ่ว
แต่ฉันเกือบจะหมดสติไปแล้วเมื่อเขาถอนริมฝีปากออกไป
“ใจเสาะเป็นบ้าเลย”
ฉันได้ยินเขาสบถเสียงแผ่วก่อนที่สติสุดท้ายของตัวเองจะวูบดับไป
ฉันรู้ว่าชินจิจะประคองร่างฉันไว้ เพราะฉันไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว ฉันถูกดื่มเลือดมากเกินไป
และนั่นก็เพราะเขาใจดีไม่ดื่มเลือดฉันเมื่อวาน
เหอะ ใจดีงั้นเหรอ ? ยังไงซะแวมไพร์ก็คือแวมไพร์นั่นล่ะ
แวมไพร์เป็นนักล่าที่เข้มแข็ง และมนุษย์เป็นเหยื่อที่อ่อนแอ
บางทีถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันอาจจะตายหรือเปล่านะ...?
ชินจิดื่มเลือดเสร็จแล้ว
เขาละริมฝีปากจากต้นคอของฉัน แล้วปลายนิ้วหัวแม่มือของชินจิก็สัมผัสแผ่วกับริมฝีปากของฉัน
“ขอบใจนะ ยูกะ”
แล้วเขาพูดชิดใบหูของฉัน
“แล้วก็อีกครั้ง...ขอโทษนะ”
ทว่ามีแต่เพียงความมืด
ดวงตาของฉันปิดลงแล้ว พร้อมกับร่างที่ทิ้งวูบลงในอ้อมแขนของชินจิอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เธอเป็นแบบนี้อาจจะเพราะฉันดื่มเลือดของเธอมากเกินไปก็ได้
ช่วยไม่ได้ ก็มันอร่อยจนห้ามใจไม่ไหว”
“...”
“ฉันเสพติดเลือดของยูกะซะแล้ว”
อัพเดทอาทิตย์ละครั้งค่ะ :)