ฝนตกหนักอีกแล้ว
เหมือนฟากฟ้ากำลังร่ำไห้ไม่หยุด สายฝนเม็ดหนักตกกระหน่ำจนอำพรางแสงไฟส่องทางหมดสิ้น
...มืดหม่นราวกับเวลาที่เราร้องไห้และหลับตา...
กึก
ชายร่างสูงหยุดฝีเท้ากลางทางเดินที่ไร้ผู้คน
มือสีขาวประดับนิ้วเรียวยาวกำร่มสีดำนิ่งค้าง
เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาราวกับภาพวาดที่งดงาม ทว่าเป็นภาพวาดในความเงียบของมุมของผนังที่แสงแดดกำลังจะหมดไป
ใบหน้าคมคายไร้ที่ตินั้นไม่เคยยิ้มเลย
และเวลานี้ดวงตาคมเข้มสีดำสนิทราวกับอากาศมืดและหนักรอบข้างกำลังจ้องมองฝ่าสีดำแห่งยามวิกาลและม่านฝนไปที่กำแพงสีเทาทึมเบื้องหน้า
ข้างกำแพงนั้นมีร่างหญิงสาวคนหนึ่งหมดสติอยู่ ดูราวกับซากุระบอบบางที่ถูกลมฝนปลิดลงมาจากต้น
“เป็นอะไรรึเปล่า”
เขาพยุงร่างสีขาวราวกับไม่เคยถูกแดดของเธอไว้ “ฉันจะพาไปหาหมอ”
“ไม่
อย่าทำแบบนั้นนะ” เธอร้อง “ข้อร้องล่ะ”
แล้วเธอก็หมดสติไปอีก
ชายหนุ่มวางร่างไร้สติของเธอลงบนเตียงนอนของเขา
แว่วเสียงฝนตกกระหน่ำจากข้างนอกตัดกับความเงียบในห้อง เขานิ่งมองหญิงสาวปริศนาที่อยู่ตรงหน้า
หยาดฝนจากเส้นผมของเขาหยดลงใบหน้าที่สวยเหมือนตุ๊กตาของเธอ
ทว่าเป็นตุ๊กตาที่คล้ายถูกทอดทิ้งและหลับไปทั้งที่ยังร้องไห้ เส้นผมสีดำยาวของเธอเปียกไปหมด
แล้วดวงตาที่งดงามราวกับค่ำคืนของเขาเคลื่อนไปที่ริมฝีปากซีดของเธอ
มองเลยต่ำลงไป...ที่ซึ่งเขาเคลื่อนมือไปปลดกระดุมเม็ดแรกบนร่างของเธอ
เขาทำความสะอาดเธอในอ่างอาบน้ำ แผ่นหลังของเธอสัมผัสกับหัวใจของเขา
แล้วเขาวางร่างที่ราวกับตุ๊กตางดงามไร้ที่ตินั้นลงบนเตียงเดิม
ผิวสีขาวจัดมีเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวยาวของเขาคลุมไว้
แสงไฟสีฟ้าเปลี่ยวเหงาจากหน้าต่างฉาบเสี้ยวหน้าสวยหวานของเธอไว้เมื่อเขาปิดไฟ
แล้วชายเจ้าของห้องก็ย้ายตัวไปนอนที่โซฟาอีกฟากของห้องก่อนจะหลับตาลง
แสงแดดอ่อนจากฟ้ายามเช้าสีเทาครึ้มสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ชายหนุ่มลุกขึ้นและพบว่าหญิงสาวในเสื้อเชิ้ตของเขายังหลับอยู่
เขาเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินกลับออกมาในชุดนักศึกษา เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ
ไว้ให้คนที่ยังไม่ตื่น นิ่งมองเธอชั่วครู่ก่อนจะออกจากห้องไป
วันนี้วิหารคาธอลิกขนาดใหญ่ระหว่างทางไปวิทยาลัยของเขาดูมืดเป็นพิเศษในโค้งฟ้าครึ้ม
รูปสลักเทวทูตที่ตั้งเรียงรายดูหม่นเศร้าในสายฝนบางเบา
และรูปสลักของอัครสาวกที่แบกไม้กางเขนดูหดหู่อย่างอธิบายไม่ได้
…ราวกับบางเวลาสายฝนก็ทำให้ทุกอย่างเทาทึมไป...และราวกับแสงสว่างได้ทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว...
...แว่วเสียงฝีเท้าคู่เล็กที่วิ่งใกล้เข้ามาเมื่อเขาหลับตา
มันเป็นเสียงฝีเท้าในวัยเด็กของเขาเองที่วิ่งผ่านที่นี่อยู่เสมอ
มองเข้าไปด้วยความอยากรู้ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไป
แล้วเสียงอ่อนโยนของแม่ก็เรียกเขาไว้ ใบหน้ากลมๆ ยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งตามแม่ไป
...นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่หญิงผู้นั้นเรียกเขา ก่อนที่วันต่อๆ
มาจะเหลือเสียงฝีเท้าของเขาอยู่เพียงคู่เดียว เสียงฝีเท้าที่ช้าลง เท้าที่ใหญ่ขึ้น
และร่างที่สูงขึ้น...
แล้วเสียงกับภาพในอดีตก็เลือนวับไปเมื่อเขาลืมตาขึ้นจากความทรงจำและออกเดินต่อ
เขาผ่านวิหารนี้อีกครั้งในตอนค่ำ
เร่งฝีเท้าผ่านไปอย่างเร็วเพื่อเปิดประตูห้องพัก ผู้หญิงที่ดูราวกับกลีบดอกซากุระคนนั้นยังหลับอยู่ที่เดิม
และเขาก็นั่งรอที่ข้างร่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ไม่นานเขาก็เห็นดวงตากลมโตสีดำสนิทของเธอเป็นครั้งแรก ดวงตานั้นดูราวกับอัญมณีสีดำ
“ตื่นแล้วเหรอ”
หญิงสาวกระพริบตาเมื่อได้ยินเสียงทัก
“เธอหลับมาถึงเย็นของอีกวันหนึ่งเลยนะ”
ร่างบนเตียงสะดุ้งแผ่วแล้วลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ห้องพักขนาดกลางของชายที่ช่วยเธอไว้
ห้องนี้สะอาดเรียบร้อย ดูรู้ว่าเป็นห้องของผู้ชายที่อยู่คนเดียว และที่ระเบียงมีชุดที่ซักสะอาดแล้วของเธอตากไว้
แล้วดวงตากลมโตสีดำก็ลากกลับมาที่ใบหน้าคมคายเพราะเสียงของเขา
“ฉันชื่อไซโตะ แล้วเธอล่ะ ?”
แต่เธอกลับก้มมองเสื้อของเขาที่อยู่บนร่างเธอและไม่ตอบอะไร
“ฉันไม่ชอบถามซ้ำนะ”
เมื่อเธอเอาแต่นิ่ง เขาก็เดินเลยไปเตรียมอาหารสำหรับสองคนจนเสร็จและนำมาวางบนโต๊ะ
“ไม่กินหรือไง ?”
เธอส่ายหน้า เขาก็เลยกินคนเดียว
แล้วความมืดสีน้ำเงินเข้มก็โรยตัวลงมาจากฟ้าสูง เวลาที่เมืองหลับใหลเดินทางมาถึงอีกครั้ง
ไซโตะดับไฟ ทิ้งร่างลงนอนบนโซฟา มีแต่ความเงียบระหว่างไซโตะและหญิงสาวแปลกหน้า
แล้วเธอก็นั่งลงบนเตียงบ้าง เอนตัวลง นิ่งมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอรู้จักแค่ชื่อ...ชายเจ้าของใบหน้าที่ราวกับเจ้าชายปริศนา
ก่อนจะหลับตา
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน
รุ่งเช้าไซโตะเห็นว่าเธอตื่นแล้วและกำลังยืนเหม่อมองหน้าต่างที่แทบไร้แสง
เขาเดินเข้าห้องน้ำไปและกลับออกมาใหม่ในชุดนักศึกษา
“ฉันต้องไปแล้ว วันนี้ฉันมีเรียน” เขากลัดกระดุมและผูกเน็คไท เหลือบมองอาหารเช้าที่วางไว้ให้หญิงสาวเมื่อครู่
เธอไม่ได้แตะต้องมันเลย “เธอก็ควรจะไปเรียนเหมือนกัน”
แต่ร่างเหมือนตุ๊กตานั้นแค่หันกลับมา
“เธอไม่ต้องไปเรียนรึไง ?”
เธอส่ายหน้า “ฉันไม่ไปเรียน”
“แล้วจะกลับบ้านมั้ย ?”
เธอนิ่งไป ก้มหน้า “ฉันไม่มีบ้าน”
แล้วร่างที่ดูเหมือนตุ๊กตาที่กำลังหนาวก็ลุกเดินไปทางประตู
“จะไปไหน” เขาถาม
ทว่าเธอเหม่อมองหน้าต่างด้วยสายตาปริร้าว “ไม่รู้สิ”
“ไซโตะ ขอบใจนะ” เธอเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรกหลังจากนิ่งไป
แล้วเธอก็จับลูกบิดประตู แต่ไซโตะแทรกร่างเข้าไปขวางประตูไว้
เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มเสมองไปอีกทาง “ถ้าไม่มีที่ไป
จะอยู่ที่นี่กับฉันก็ได้”
แล้วไซโตะนิ่งไปอีก ที่นี่มีแต่เขา และไม่เคยมีใครอื่น
ความเงียบโอบล้อมเขาและเธอเอาไว้ ก่อนที่ไซโตะจะทำลายมันด้วยการสะพายกระเป๋า
“แล้วอย่าไปไหนล่ะ จนกว่าฉันจะกลับมา”
ประตูปิดลง
เย็นแล้ว ไซโตะเดินผ่านวิหารในสายฝนบางเบาอีกครั้งระหว่างทางกลับที่พัก
“กลับมานะ” เสียงร้องดังขึ้นจากในอาคารหนึ่งของวิหารเพื่อเรียกเด็กหญิงตัวน้อยที่วิ่งออกมาที่รั้ว
“ฝนตก กลับมาเร็วจ้ะ”
แต่เด็กหญิงวิ่งมาถึงรั้วเหล็กที่คั่นระหว่างเธอและไซโตะแล้ว
“หนูชื่อยูกะ” เด็กน้อยยิ้มกว้าง
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสดใสดูเป็นประกายแม้แต่เวลาที่ฟ้าครึ้ม
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ผูกเป็นหางม้าขยับขึ้นลงอย่างสดใสเมื่อเธอถามกลับ “พี่ล่ะ”
ไซโตะเพียงยิ้มจาง
“กลับเข้ามาเดี๋ยวนี้นะยูกะ”
แล้วเด็กน้อยก็วิ่งกลับไปตามเสียงเรียกของแม่
ไซโตะเดินผ่านห้าง ที่วินโดว์ดิสเพลย์มีชุดผู้หญิงสวยน่ารักหลายตัว แล้วเขาก็เดินเข้าไป
หญิงสาวมองถุงช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยชุดและของใช้จำเป็นสำหรับเธอเมื่อเขาวางมันลงบนเตียงในห้องพัก
“นี่...”
“สำหรับเธอ” เขาบอก “เธอน่าจะจัดการตัวเองให้สะอาดเรียบร้อยได้แล้ว”
แล้วหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดใหม่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอนที่เขาถามหลังจากมองเธอนิ่งนาน
“จะบอกได้รึยังว่าเธอชื่ออะไร”
เธอนิ่งไป แล้วอีกครู่หนึ่งก็เหม่อมองหน้าต่าง “อย่าใส่ใจเลย มันไม่สำคัญหรอก”
“ถ้าไม่บอกฉันเดาก็ได้ ไอดะ โอดะ...” ดูเหมือนเขาอาจจะไล่นามสกุลทั้งหมดในสมุดโทรศัพท์ออกมา
“นานะ” ในที่สุดเธอบอกออกไป ดวงตาสีดำที่เหม่อมองหน้าต่างลากมาจ้องมองเขา
มันน่าแปลกที่เธอมีเส้นผมสีดำสนิทเหมือนกันกับเขา และดวงตาสีเดียวกับเขา...
“ฉันชื่อนานะ”
“...”
“มันหมายถึงเลขเจ็ด วันที่เจ็ด วันที่พระเจ้าทรงหยุดพักยังไงล่ะ”
นานะบอกชื่อตัวเองกับเขาไปแล้ว เธอไม่ได้เจอผู้ชายที่หน้าตาน่ามองและใจดีแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
ถึงเขาจะแนะนำตัวว่าชื่อไซโตะ แต่เขาก็ยังเป็นคนแปลกหน้า เขาถามเธอว่าเธอจะกินข้าวเย็นไหม
แต่เธอบอกว่าไม่เป็นไร
“เธอไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ”
“อย่าห่วงเลย ไม่ต้องดูแลฉันอย่างดีหรอก” นานะบอก
“นึกซะว่าฉันเป็นแค่เงาอะไรซักอย่างในห้องก็ได้”
“ทำไมพูดเหมือนตัวเองไม่มีค่าอะไรเลย” ไซโตะถามเสียงเรียบ
“ทำไมทำเหมือนไม่มีอะไรสำคัญซักอย่าง”
“นั่นสินะ” เธอยิ้มเศร้า “บางทีฉันอาจจะแค่เกิดมาเพื่อมองไปนอกหน้าต่างก็ได้”
และที่นอกหน้าต่างนั้น...นานะมองไปอีกแล้ว ทำไมนะเธอถึงอยู่ไกลแสนไกลจากที่นั่นเหลือเกิน
“มีอะไรนอกหน้าต่าง” ไซโตะถาม
“อย่าใส่ใจมันเลย ไซโตะ”
ไฟห้องดับลงแล้ว คงเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนเห็นจะได้
นานะลุกขึ้นจากเตียง แสงไฟสีฟ้านอกหน้าต่างสาดเข้ามาพร้อมกับความคิดถึงที่มากจนอธิบายไม่ได้
แสงหม่นเหงาฉาบใบหน้างดงามราวรูปสลักของไซโตะเสี้ยวหนึ่งเมื่อเธอเดินไปนั่งลงที่ข้างร่างของเขา
และเหม่อมองใบหน้าที่หล่อเหลาจนเกินไป
ดวงตาที่ปิดอยู่...ขนตาหนาเป็นแพงดงามจนผู้หญิงอิจฉา...และริมฝีปากบาง...
ลำคอของไซโตะสะท้อนแสงจากหน้าต่างเมื่อเธอโน้มใบหน้าลงไป
...ริมฝีปากของเธอเกือบสัมผัสลำคออุ่นนั้น …
รีดเดอร์ที่สนใจ “Vampire and I : ซากุระในสายฝน”
ฉบับพ็อคเก็ตบุ๊คสามารถโอนเงินค่าหนังสือ 179 บาทพร้อมค่าจัดส่งทั่วประเทศ 30 บาทรวม
209 บาทมาได้ที่บัญชีออมทรัพย์ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาบิ๊กซีหางดง 2
เลขที่บัญชี 406-387614-3 เอื้องอลิน จึงสกุลรุจิเรข
แล้วส่งหลักฐานการโอนพร้อมชื่อที่อยู่สำหรับจัดส่งมาที่อินบ๊อกซ์ www.facebook.com/daydreamfiction หรือ Line id: Ung-alin ขอบคุณค่ะ ^^