วันรุ่งขึ้นที่วิทยาลัยอาร์เธอร์ เวลาพักเที่ยง
“แซค นายไม่กินผักเหรอ? ”
ฉันถามเสียงสูงเมื่อเห็นแซคเขี่ยหัวหอมออกจากสปาเก็ตตี้ “หอมนี่ถูกหั่นเป็นร้อยๆ
ชิ้นแล้วนายก็ยังจะเขี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ฉันไม่ชอบกินผัก“
แซคพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเด็กเอาแต่ใจ
จมูกโด่งที่หล่อเหลาเชิดใส่ผักในจานอย่างไม่ใยดี
“เชิดใส่ผักที่มีประโยชน์แบบนี้ไม่ได้นะ”
ฉันตำหนิ “ดูเพื่อนคนอื่นสิเซ็ธ เคนท์ แคมม์ และนิคออกจะกินผักกันอย่างเอร็ดอร่อย”
“แล้วไง”
“ฉันก็เลยทนไม่ได้ไง
ขนาดเซธสูบบุหรี่ฉันยังไม่ยอม
เรื่องนายไม่กินผักนี่ฉันก็ต้องจัดการให้ได้เหมือนกัน!”
แล้วฉันคะยั้นคะยอแซคสุดความสามารถ
“กินหน่อยน่า นะ แซคคนเก่ง”
“ไม่มีทาง แหวะ” แซคทำท่าคลื่นไส้
ฉันขมวดคิ้วและเริ่มสั่งสอนเขาราวกับครูสอนนักเรียน “ผักมีประโยชน์มากนะ
นายเคยเรียนใช่ไหม ผักช่วยล้างพิษ แก้ริดสีดวง ป้องกันมะเร็ง ทำให้ผิวสวย
กินแล้วทั้งหล่อทั้งฉลาดนะ” ฉันสาธยายอีกยาว
“ไม่มีวัน ยังไงฉันก็ไม่ยอม”
แซคกอดอกและสะบัดหน้า
ฉันลุกขึ้นยืนชี้หน้าเขา
“ถ้านายไม่เริ่มกินเสียตั้งแต่ตอนนี้เชื่อเถอะว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหนุ่มหล่ออย่างนายจะต้องกลายเป็นตาอ้วนพุงโตหัวล้านแน่”
“ความหล่อของฉันไปเกี่ยวอะไร”
“ก็นายกินแต่เฟรนช์ไฟรส์กับเบอร์เกอร์
เพราะฉะนั้นนายจะดูหล่อไปได้อีกไม่กี่ปีหรอก”
ฉันพูดเหมือนผู้ชนะ แซคขมวดคิ้วคิดอย่างหนัก
ทว่าครู่เดียวก็กลับมาอิดออดเหมือนเดิม
“ยังไงก็ไม่! ”
“ไม่ยอมใช่ไหม อืม...”
ฉันคิดไม่นานก็ดีดนิ้วเปาะ “นึกออกแล้ว! ”
เสียงของฉันที่โพล่งดังทำให้แซคผงะ
“ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วย? ”
“หึๆๆ”
“อะไรของเธอ คิดจะอะไร? ”
แซคระแวงกว่าเก่า และฉันก็ได้แต่ยิ้มร้าย
ฉันไม่นึกเลยว่าตัวเองจะคิดเรื่องที่ปราดเปรื่องขนาดนี้ออกมาได้
ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเสียจริงๆ !
หลังจากรู้ว่าจะทำให้แซคกินผักได้อย่างไรฉันก็พาเขามาที่ร้านสลัดบาร์อาร์เธอร์
ร้านสลัดแห่งนี้เป็นร้านอาหารสุขภาพที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมือง
สลัดทั้งหมดในร้านเป็นสลัดออร์แกนิคจากผักที่ปลูกขึ้นเอง
และน้ำสลัดที่มีกว่าร้อยชนิดก็ปรุงขึ้นสุดฝีมือด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะหากินตามร้านอื่นไม่ได้
นอกจากนี้ฉันยังชอบที่ร้านนี้มีผักหลายชนิดที่หายากถึงแม้จะเลื่องชื่อในราคาที่แสนแพงก็ตาม
“หลักการหัดกินผักข้อที่หนึ่ง”
หลังจากสลัดที่สั่งถูกเสริ์ฟลงบนโต๊ะแซคก็ทำหน้ามุ่ยจ้องมองผักราวกับเด็กเอาแต่ใจ
ฉันยกนิ้วเหมือนครูเจ้าระเบียบและเริ่มสาธยาย “นายต้องเลือกกินผักที่มีสีอ่อน
เพราะรสชาติและกลิ่นของมันก็จะอ่อนไปด้วย”
“เธอรู้ได้อย่างไร”
เขาหรี่ตาอย่างระแวง
“อ่านหนังสืออย่างไรล่ะ
ฉันอ่านเจอในคอลัมน์แนะนำร้านอาหารสุขภาพ”
“ฉันว่ามันน่าอ้วกอยู่ดีนั่นแหละ”
“นั่นก็เลยทำให้เราต้องมีข้อสอง”
ฉันชูสองนิ้วอย่างมั่นใจ
จากนั้นก็ตักน้ำสลัดหนึ่งในเจ็ดรสที่สั่งมาให้แซคเลือกลงบนสลัดของเขา
“ใส่น้ำสลัดเข้าไปมากๆ”
“ฉันเคยลองแล้ว ไม่เห็นจะเวิร์คเลย”
“งั้นข้อสาม กินกับของที่นายชอบ
เช่น...” ฉันลากเสียงอย่างครุ่นคิด “พิซซ่า! ”
คราวนี้แซคเลิกคิ้วข้างหนึ่งเหมือนจะสนใจขึ้นมา
และเมื่อพิซซ่ามาวางต่อหน้าเราก็ถึงเวลาที่เราจะจัดการกับสลัดกัน
ฉันเริ่มกินผักสารพัดชนิดให้เขาดูอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่ลืมที่จะจิ้มผักสีอ่อนที่สุดให้เขาลองด้วย
แต่ฉันเตรียมใจไว้แล้วว่าวันแรกของการฝึกเขาน่าจะกินผักได้น้อยมากหรือไม่ก็กินไม่ได้เลย
“กินใบเดียวก่อนก็ได้
ผักหนึ่งใบต่อพิซซ่าหนึ่งชิ้น กินนะคนเก่ง” ฉันปรบมือเหมือนเชียร์เด็กกินข้าว
หลังจากอิดออดอยู่นานแซคก็ทำสิ่งที่เหลือเชื่อ
“งั่ม! ”
เขากินผักเข้าไปแล้ว!
แต่ไม่ทันไรเขาก็แหวะอ้วกอย่างน่าสงสาร
“นี่น้ำๆ” ฉันรีบยื่นแก้วให้
“ระวังผักติดคอตาย ไม่ต้องเคี้ยวแล้ว!! กลืนลงไปเลย!! ”
อึกๆๆ
หลังจากดื่มน้ำหมดขวดใหญ่เขาก็หายใจโล่งออกมา
“ฮ้า...”
“น้ำหนึ่งขวดลิตร ผักหนึ่งใบ
พิซซ่าหมดไปหนึ่งถาด ใช่ได้แล้วล่ะ” ฉันปรบมือ
“จริงเหรอ”
“จริงสิ นายเก่งมากแซค
ไม่เลวเลยสำหรับวันแรก นายว่าจริงไหมล่ะ? ”
“ก็จริง แต่ทำไมต้องพยายามกับฉันขนาดนี้ด้วย”
“ก็เพราะฉันหวังดีกับนายไง”
แซคจ้องมองฉัน “เธอเป็นห่วงฉันเหรอ?
”
“ใช่”
คราวนี้แซคนิ่งไป
ก่อนที่ดวงตางดงามสีคาราเมลจะจับจ้องฉันนานและจริงจังกว่าเดิม “ห่วง...จริงๆ นะ? “
แววตาและน้ำเสียงของแซคทำให้ฉันรู้สึกเกร็ง
“เอ่อ...ก็...”
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าแซคจ้องมองฉันอย่างตั้งใจขนาดนี้เพื่ออะไร
ในที่สุดฉันก็รีบบอก “ก็นายเป็นเพื่อนฉันนี่ เพื่อนกันก็ต้องเป็นห่วงกันสิ
ฉันอยากให้นายแข็งแรงนะ”
“เหรอ” ดวงตาของเขาราวกับตรึงฉัน
“ก็ใช่นะสิ...”
เขาปล่อยให้ฉันเกร็งอยู่ต่อหน้าดวงตางดงาม
ก่อนจะถามออกมา “รู้อะไรไหมวิคกี้”
“อะไร? ”
แล้วเขาเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าไม่ใช่เป็นเธอที่บอกฉัน ฉันอาจจะไม่ทำก็ได้
แต่เพราะเป็นเธอ...ฉันจะทำก็แล้วกัน”
คำพูดของแซคทำให้ฉันได้แต่นิ่งอึ้งและกระพริบตาปริบๆ
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขากำลังคิดอะไร โดยเฉพาะเมื่อเขาท้วงถามความห่วงใยจากฉัน
และดวงตาสีคาราเมลก็ตรึงฉันไว้นิ่งนานขนาดนั้น...
แล้วฉันสัมผัสถึง
ราวกับเม็ดเลือดที่วิ่งขึ้นมาเต้นพล่านจนใบหน้าของตัวเองอุ่นร้อนขึ้นมา
ฉันไม่เข้าใจแซคเลย
หลังจากที่ฉันสอนแซคกินผักสำเร็จตั้งแต่วันแรกเราก็นัดกันออกมากินสลัดอีกหลายครั้ง
แซคเป็นผู้ชายที่สนุกและอารมณ์ดี
เพราะอย่างนั้นหลายครั้งวิชาเรียนกินผักของเราก็เลยกลายเป็นชั่วโมงบริหารกรามของฉัน
แซคมักจะทำให้ฉันหัวเราะท้องแข็งเสมอ
และเวลานี้ก็เหมือนกัน พอฉันเห็นหน้าของเขาที่กล้ำกลืนกินผักสปิแนชลงไปเหมือนเด็กที่ข้าวติดคอฉันก็หัวเราะลั่น
แซคไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาดีที่คุยสนุกและเปี่ยมอารมณ์ขันเท่านั้น
แต่อย่างที่บอกไปว่าเขาเป็นอัจฉริยะในการซ่อมทุกอย่างอีกด้วย
เขารับงานซ่อมประปาและไฟฟ้าที่วิทยาลัยในตอนกลางวัน บางเย็นเขาซ่อมสารพัดอย่างให้เพื่อนบ้าน เขาทำงานเฟอร์นิเจอร์ได้ไม่แพ้มืออาชีพอีกด้วย
ตอนเขาไปซ่อมไฟให้ฉันที่บ้านเมื่อวันก่อนฉันถามเขาว่าเขาซ่อมของต่างๆ
เป็นได้อย่างไร แล้วเขาก็ตอบง่ายๆ ว่าเขาเรียนจากยูทูบ
นั่นทำให้ฉันยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเห็นรูปงานไม้ทั้งโต๊ะ เก้าอี้
หรือแม้แต่เคาน์เตอร์ที่เขาโชว์ให้ฉันดูจากมือถือ
อย่างไรก็ตามวันนั้นแซคไม่ยอมรับเงินค่าซ่อมไฟจากฉัน
เขาให้เหตุผลว่าเป็นการตอบแทนที่ฉันสอนเขากินผักอย่างทุ่มเท
แต่ถ้าจะพูดให้ถูกฉันไม่ได้สอนเขาสักหน่อย ฉันบังคับเขาต่างหาก
ถึงตอนนี้ฉันก็ยังแปลกใจว่าทำไมเขาถึงยอมฉัน เขาไม่รำคาญความจู้จี้และชอบออกคำสั่งของฉัน
และจะว่าไปเขาไม่เคยโกรธอะไรฉันเลย ต่อหน้าฉันเขามักจะอารมณ์ดีและอ่อนโยน
วันนี้หลังจากแก๊งเราคุยกันที่หลังวิทยาลัยจนพอใจแล้วก็ได้เวลาที่ฉันจะพาแซคมาหัดกินผักอีกครั้ง
วันนี้เขากินผักได้หลายชนิดขึ้นแล้ว
แปะๆๆ ฉันตบมือให้เขา “เก่งจังแซค เก่งที่สุดเลย! ”
“เธอสอนเก่งต่างหากล่ะ วิคกี้
แล้วนี่ฉันสอบผ่านคอร์สเธอแล้วใช่ไหม? ”
“ยัง นี่ยังแค่เริ่มต้น”
“หา?! ทำไมล่ะ?
ฉันไม่ได้จบคอร์สและได้ประกาศนียบัตรจากเธอแล้วหรือไง? ”
“ฉันตั้งเป้าไว้ว่าภายในหนึ่งปีนายจะต้องกินมะระในภัตตาคารอาหารจีนกับอาหารไทยได้”
“มะ...มะระ...!? ” แซคทำหน้าเหยเก “มันคืออะไร”
“ก็หนึ่งในผักที่ขมที่สุดในโลกอย่างไรล่ะ”
แล้วเขาก็ทำหน้าขยะแขยงที่ตลกที่สุดให้ฉันเห็น
และฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหล่อจะทำหน้าตาแบบนั้นได้
“วิคกี้! เธอจะให้ฉันกินมะระเนี่ยนะ!
มะระ?!”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
แน่นอนว่าการกินผักทำให้แข็งแรง
แต่จะทำให้สุขภาพแย่ลงถ้าต้องตากฝนเม็ดใหญ่ที่เย็นเฉียบออกจากร้านสลัด
ซ่า... !!
แซคถอดเสื้อนอกมาคลุมหัวเราสองคนแล้ววิ่งฝ่าฝนไปส่งฉันที่บ้าน
ถึงอย่างนั้นทั้งหัวทั้งตัวของเราก็เปียกโชกไปหมดอยู่ดี!
“ขอบใจนะวิคกี้”
ฉันโบกไม้โบกมือเป็นการบอกว่าไม่ต้องขอบใจ
เพราะจนป่านนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะขอบคุณเรื่องเล็กๆ แบบนี้ทำไม
มันเป็นแค่ความเอาแต่ใจของฉันที่เขาไม่เห็นจะต้องเชื่อฟังสักหน่อย
แต่รอยยิ้มของเขาน่ารักเกินไปแล้ว
มันทั้งน่ามองและทั้งมีเสน่ห์ อาจเพราะเขี้ยวแหลมๆ ของเขาที่ปรากฏขึ้นเวลายิ้ม
และฉันก็เชื่อสุดใจว่าไม่ว่าผู้หญิงที่ไหนได้เห็นยิ้มแบบนี้ก็คงจะห้ามเสียงกรี๊ดไว้ไม่ได้
ผิวของเขาใสมากด้วย
มันทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีผิวที่เปล่งปลั่งขนาดนั้นได้อย่างไรทั้งที่ไม่กินผักเลย
“เข้ามารอฝนหยุดก่อนไหม” ฉันชวนแซคเมื่อพวกเราลุยฝนมาถึงหน้าบ้านฉัน
“ไม่เป็นไร”
แซคบอกอย่างเป็นสุภาพบุรุษก่อนจะวิ่งออกไป “รีบอาบน้ำเสียล่ะ แล้วก็อย่าเป็นไข้นะ
วิคกี้”
แต่วันต่อมาฉันก็เป็นไข้จริงๆ
ปิ๊งป่อง
ฉันแทบจะคลานไปเปิดประตูบ้านตอนที่มีเสียงกริ่งและเสียงเคาะประตูรัว
ๆ จากหน้าบ้าน
“ไฮ! วิค” แซคโผล่หน้าหล่อพร้อมลักยิ้มบุ๋มงดงามเข้ามา
แต่เสียดายที่ความหน้าตาดีของเขาไม่ใช่ยาที่จะทำให้ฉันหายไข้ได้ “เป็นอะไร
ทำไมไม่ไปเรียน? ”
พอเห็นหน้าเขาฉันก็วางใจล้มฟุบและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นในทันที
ฉันพร้อมจะหมดสติได้อย่างหมดห่วงแล้ว
“วิค!! ” แซคร้องลั่นเมื่อเห็นฉันทรุดฮวบลงไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่ไหวแล้ว” ฉันครวญคราง
ฉันไข้ขึ้นตั้งแต่ตีสามเมื่อคืน คงเพราะตากฝนมากับแซคนั่นเอง หัวก็ปวดไปหมด
เนื้อตัวก็เจ็บหนึบหนับจนขยับไม่ได้
“วิค?! เป็นอะไร?! ทำใจดีๆ ไว้นะ!
”
“นายพูดเกินไป ฉันยังไม่ตาย” ฉันคราง
“แต่เหมือนหัวจะระเบิด”
“เธอตัวร้อนนี่! ”
แซคโวยวายหลังจากแตะหลังมือบนต้นคอของฉัน
แล้วเขาก็กุลีกุจอลากฉันไปนอนแผละที่โซฟา
“ทำไมไม่โทรบอกใครเลยวิค
ทุกคนเป็นห่วงเธอมากนะ”
“...โทร...ไม่...ไหว...”
ฉันตอบด้วยเสียงที่แทบเปล่งออกไปไม่ได้ ฉันมึนไปหมด ร้อนผ่าวไปทั้งตัวทั้งหน้า
ลืมตาก็ไม่ขึ้นแล้ว
“ดีนะที่วันนี้ฉันเลิกเรียนเร็วสุดเลยรีบมาดู
ปรอทล่ะ มีไหม”
“ไม่”
“แย่ล่ะ รีบไปโรงพยาบาลดีกว่า
แต่ก่อนอื่น...”
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของแซครุดห่างออกไป
แล้วอีกครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำในครัว
ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับอ่างใส่น้ำและผ้าขนหนูในมือ แต่เมื่อฉันดูดีๆ
ก็เห็นว่ามันไม่ใช่ผ้าขนหนูแต่เป็นผ้าเช็ดโต๊ะต่างหาก แต่ก็ช่างเถอะ
เดี๋ยวสิ
ดูเหมือนฉันจะพูดว่าช่างเถอะไม่ได้เพราะแซคถลกแขนเสื้อขึ้น
“ต้องเช็ดตัวก่อน” เขาพูดจริงจัง
“หา!?” ฉันตกใจจนหายมึนไปชั่วขณะ “มะ...ไม่ต้อง! ไม่ได้!”
“อย่าดื้อสิ ตัวร้อนแบบนี้อันตรายนะ”
“ไม่ต้อง ไม่เอา!” ฉันผลักมือเขา
“แป๊บเดียวน่า”
แซคล็อคมือฉันไว้เพราะฉันปัดมือเขาตลอด แต่ฉันก็ยังดิ้นจนเขาเริ่มขึ้นเสียง
“เธอจะระเบิดแล้วนะ!”
“ระเบิด?”
คำขู่ของเขาทำให้ฉันหยุดดิ้นได้ ฉันกลัวจนหัวหด
ไม่เคยได้ยินว่าคนเราเป็นไข้แล้วจะระเบิดได้มาก่อนเลย “หรือนายหมายถึงชัก? ”
แซคไม่ตอบแต่ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดแขนฉัน
และฉันก็ปวดหัวเกินกว่าจะคิดอะไรออกแล้ว ฉันรู้สึกสบายเหมือนที่ตอนเด็กๆ
คุณพ่อหรือคุณแม่มาเช็ดตัวให้ และถ้าไม่คิดว่าเขาแตะเนื้อต้องตัวฉันมากไปเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีและห่วงใยฉันจริงๆ
ฟุ่บ! ฉันหลับตาปี๋เมื่อแซคโปะผ้าเปียกๆ ลงบนหน้าของฉัน
แล้วเขาก็ดึงมันออกเพื่อจะย้ายมันไปเช็ดที่ซอกคอ ฉันหลับตา
เขากำลังเช็ดแขนและขาให้ฉันอีกรอบ
“ขอโทษนะ” อยู่ๆ
แซคก็พูดขึ้นมาตอนฉันกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว
แต่ฉันก็ไม่ทันคิดว่าคำขอโทษของเขาหมายถึงอะไร
ฟึ่บ! แซคเปิดเสื้อของฉัน แล้วมือกับผ้าขนหนูเปียกๆ
ก็ล้วงเข้าไปเช็ดหน้าท้องของฉัน
“อ๊าย! “ ฉันร้องลั่น
ฉันไม่รู้เลยว่าที่เขาขอโทษฉันล่วงหน้าก็เพราะแบบนี้ “อย่านะ!!”
ฉันพลิกตัวค่ำเพื่อหลบมือของเขา
แต่กลับกลายเป็นเปิดโอกาสให้เขาดึงเสื้อเพื่อเปิดแผ่นหลังของฉัน
แล้วล้วงมือพร้อมผ้าเย็นๆ เข้ามากลางแผ่นหลังของฉัน
วาบ!
“ขอโทษอีกที”
“อ๊ายยย พอๆๆ!” ฉันกรีดร้อง “ให้ตายสิ! พอแล้ว! หยุดเดี๋ยวนี้!! ” ฉันทุบเขาดังปึ้กๆๆ แต่แซคไม่สะทกสะท้านเลย
เขายังเช็ดตัวฉันต่อไป ในที่สุดเขาก็ต้องล็อคมือของฉันไว้เหนือหัวทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ฉันดื้อ
“ฮือ แซค พอแล้ว หยุดสิ!”
แล้วฉันก็ถูกเช็ดตัวอย่างไม่มีทางสู้
หวือ! อยู่ๆ ฉันก็ถูกยกตัวลอย
แซคแรงเยอะมากตอนที่ยกฉันขึ้นนอนคว่ำบนบ่ากว้างของเขา
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ
อย่าเป็นอะไรไปก่อนล่ะ บ้าเอ๊ย ฉันน่าจะมาหาเธอตั้งแต่เมื่อเช้า
ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย” ฉันได้ยินเสียงแซคบ่นแค่แว่วๆ
เพราะฉันยังเวียนหัวมาก
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังทุบหลังเขาตามสัญชาติญาณ...อย่างอ่อนแรง
ปึ้ก...ปึ้ก...ปึ้ก
“วันหลังเธอต้องโทรหาฉันทันทีเป็นคนแรกนะวิคกี้
สัญญานะ”
แซคมาส่งฉันที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นฉันก็ถูกหมอสั่งให้นอนใส่น้ำเกลือสองวันเต็ม
หมอบอกว่าฉันติดไวรัสบางอย่างในอากาศที่ไม่น่าเกี่ยวกับการตากฝน
ตอนนี้ฉันก็เลยนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะฤทธิ์ยาอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
แล้วอยู่ๆ ตอนที่กำลังหลับเพลินๆ
ก็มีบางอย่างที่อุ่นและนุ่มนวลทาบลงมาบนแก้มของฉัน
สัมผัสที่ราวกับริมฝีปากทำให้ฉันลืมตาโพลง
ภาพแรกที่ฉันเห็นเมื่อลืมตาคือใบหน้าของแซคที่ยืนอยู่ค้ำหัวฉัน
“น...นาย ทำอะไรน่ะ !?” ฉันผวา
“อะไรเหรอ?” เขาถามงงๆ
“ฝันร้ายหรือเปล่า? ”
“ก็...”
แววตาห่วงใยของเขาทำให้ฉันหยุดความคิดเอาไว้ เมื่อครู่ฉันอาจแค่ฝันไปก็ได้
“ไข้ลดลงแล้วนะ”
แซคเคลื่อนหลังมือมาแตะแก้มฉัน มอบสัมผัสอบอุ่นคล้ายกับเมื่อครู่นี้
ทำให้ฉันเข้าใจว่าบางทีเมื่อครู่อาจจะเป็นแค่มือของเขาที่สัมผัสฉันเท่านั้น
“แล้วไป” แต่ฉันก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว
แซคมักฉลาดกว่าฉัน
“อะไรเหรอ? ”
“เปล๊า”
แซคมองฉันอย่างตั้งใจก่อนจะยิ้ม
และทว่าถึงจะเป็นยิ้มที่น่าหลงใหล แต่ยิ้มนั้นก็ไม่เข้ากันกับอารมณ์ของฉัน
“นายยังมีหนี้แค้นกับฉันอยู่นะ
นายเปิดเสื้อฉัน! ” ฉันคาดโทษ
“ฟังนะวิคกี้ เธอไข้สูงมาก
ฉันต้องเช็ดตัวให้” เขาพูดจริงจังเพื่อให้แน่ใจว่าฉันเป็นฝ่ายผิด “แล้วนี่อะไร
เธอไม่ขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”
ฉันผลักร่างสูงของแซคจนเซด้วยความหมั่นไส้
“วันหลังไม่ต้องเช็ดแล้วนะ ห้ามเด็ดขาด! ถ้านายเจอฉันเป็นไข้อีกปล่อยฉันตายไปเลยก็ได้!”
“ไม่ได้หรอก” แซคตอบด้วยรอยยิ้ม
“นายยิ้มอะไร!? ”
“เพราะว่าถ้าเธอตาย
เธอก็จะไม่ได้เจอแคมม์อีกแล้วนะ”
ฉันสะดุ้งเหมือนโดนจี้
“แคมม์...เกี่ยวอะไร...?” แล้วฉันก็รู้ว่าเสียงตัวเองที่ถามออกไปนั้นราวกับถูกดูดไว้
แล้วยิ้มที่มีลักยิ้มบุ๋มของแซคก็ทำให้ฉันมั่นใจ
เขากำลังย้อนมาแกล้งฉันเรื่องความลับที่ฉันไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้
ความลับเรื่องเดียวของฉัน! และฉันเกลียดเพื่อนที่แสนรู้ราวกับสัตว์สี่ขาหน้าขนที่สุด!
“วิคกี้ ฉันรู้นะว่าเธอชอบแคมม์...”
“อย่าแม้แต่จะพูดนะ ไม่!!”
แซคยิ้มอีก
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าแซครู้เรื่องของฉันได้อย่างไร ฉันไม่ได้แอบมองแคมม์ให้ใครเห็น
ฉันปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้แนบเนียนเกินกว่าที่ใครจะสังเกตได้
บางทีเขาอาจจะเห็นรูปแคมม์ที่ฉันวาดติดไว้ในห้องนอนตอนที่ไปซ่อมไฟที่บ้านฉัน
หรือเห็นตอนที่ไปเปลี่ยนก๊อกน้ำแตกก่อนหน้านั้น ฉันได้แต่คิดพลุ่งพล่าน
ฉันตีแซคที่เอาแต่หัวเราะ “ไม่! ไม่ๆๆ!!
ฉันเกลียดนาย! เกลียดที่สุด!! “
แกร๊ก
อยู่ๆ ประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก
พร้อมกับเพื่อนๆ ในแก๊งที่มาเยี่ยมฉัน เซธ เคนท์ นิค และ...แคมม์
พอฉันรู้ว่าแซครู้ความลับของฉัน
ฉันก็แทบไม่กล้ามองหน้าใบหน้าคมคายของแคมม์เลย ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเห็นว่าเขาดูหน้าตาสดใสเป็นพิเศษ
“ช่วงนี้นายดูดีนะแคมม์
มีข่าวใหม่เหรอ ?” แซคที่สังเกตเหมือนกันถามแคมม์แทนฉัน
เป็นอีกครั้งที่แซครู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ และนั่นก็ทำให้ฉันชักสีหน้าใส่เขาอีกครั้ง
“อืม”
“ทำไม
คามิลล์เลิกกับลีโอเนลแล้วเหรอ? ”
“ใช่”
“เลิก!? ” เพื่อนๆ สะดุ้งแทบจะพร้อมๆ
กัน
“จริงเหรอ ว้าว! ข่าวดีสุดๆ เลยนะ!”
แต่ฉันร้องดังที่สุดและกระเด้งขึ้นจากเตียงอย่างตื่นเต้นทั้งที่ยังใส่สายน้ำเกลือไว้
ฉันกรีดร้องและกระโดดลงจากเตียงด้วยความดีใจ และไข้ก็ราวกับหายเป็นปลิดทิ้ง
“สุดยอดเลยแคมม์! ทุกวันฉันภาวนาให้คามิลล์รักนายตลอดไป
ในที่สุดคำภาวนาของฉันก็เป็นจริงจนได้!”
เพื่อนๆ ก็ร้องด้วยความดีใจเช่นกัน
“เยส! ”
“โอ ดีใจจัง”
“ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลย !!
ฉันได้แต่ยิ้มกว้างเมื่อมองภาพเพื่อนๆ
แสดงความยินดีกับแคมม์ราวกับเขาประกาศแต่งงาน ฉันชอบรอยยิ้มของแคมม์เวลานี้ที่สดใสราวกับแดดสว่าง
“ดีใจด้วยนะแคมม์” ฉันแสดงความยินดีกับเขา
“ฉันอยากจัดปาร์ตี้ฉลองการคืนดีให้พวกนายจัง เสาร์นี้เลยนะ เจอกันบ้านฉันนะทุกคน”
“จริงเหรอ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้“
แคมม์กล่าวอย่างเกรงใจ
“เพื่อนายฉันทุ่มน้อยกว่านี้ไม่ได้หรอกขอให้นายกับคามิลล์รักกันมากๆ
นะ ขอให้รักกันตลอดไป วิคกี้เอาใจช่วยจ้ะ”
แล้วแคมม์ก็ยิ้มงดงามสว่างไสวอีกครั้ง
“ขอบใจนะ วิคกี้”
ในใจของฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีฮีตเตอร์เปิดขึ้น
ฉันดีใจกับแคมม์อย่างสุดหัวใจ
และที่จริงไม่มีอะไรที่ฉันจะดีใจไปกว่าการเห็นรอยยิ้มของแคมม์แบบนี้
แต่แล้วหางตาฉันก็สะดุดเข้ากับกับสายตาระแวงแกมจับผิดของแซค
ฉันตอบกลับด้วยแววตาสังหารพร้อมยกนิ้วปรามอย่างน่าหวาดผวา
“มีอะไรเหรอวิคกี้”
แคมม์ที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ถามฉัน
“ไม่มีอะไรหรอกแคมม์” แซคตอบแทนฉันและยิ้มอย่างไม่กลัวเกรง
“จริงเหรอ” แคมม์หันมาถามฉัน
“จริง” ฉันตอบหนักแน่น
ฉันไม่ได้โกหกเลย มันเป็นความจริงที่ว่าฉันแอบชอบแคมม์
ทว่าก็เป็นความจริงยิ่งกว่าที่ว่ามันถึงเวลาที่ฉันจะเลิกชอบเขาแล้ว
ฉันถึงได้จัดปาร์ตี้ให้เขาและคามิลล์เพื่อพิสูจน์หัวใจ
แล้วฉันก็ไม่ลืมที่จะตวัดสายตากลับไปฆ่าฟันแซคอีกครั้ง
เพราะฉันยังมีหนี้แค้นกับเพื่อนที่แสนรู้อย่างเขา
และฉันจะต้องจัดการให้เขาหุบปากเรื่องความลับของฉันให้ได้!